ย่อ พุทธประวัติ
โดย ร.ต.อ.กฤษณ์ ชลิตวรกุล
คุณวุฒิ เนติบัณฑิตไทย สมัย 59
ก่อน พ.ศ.81 ปี พระนางมายา ฝันเห็นเทพ และ ช้างเผือก และ รู้ว่ามีพระโพธิสัตว์ มาจุติในครรภ์ของตน
รุ่งเช้า พระนางมายา เล่าให้พระเจ้าสุทโธทนะ (กษัตริย์ แห่งนครกบิลพัสดุ์) ฟัง จึงได้มีการเชิญพราหมณ์ 64 ท่านมาทำนายฝัน ผลระบุว่า ผู้มีบุญมาก จะมาจุติ
ต่อมา พระนางมายา ตั้งครรภ์
ในขณะตั้งครรภ์ พระนางมายาก็สามารถมองเห็นพระโอรสในครรภ์อย่างชัดเจนด้วย และ เห็นว่าบุตรนั่งขัดสมาธิอยู่
เมื่อตั้งครรภ์ได้ 10 เดือน มีธรรมเนียมให้คลอดที่กรุงเทวทหะ อันเป็นบ้านเกิดของพระนางมายา
พระนางมายา จึงได้ออกเดินทาง ไปยังกรุงเทวทหะ ระหว่างทาง เมื่อผ่านที่สวนลุมพินีวัน วัน ศุกร์ 15 ค่ำ เดือน 6 ปี จอ วันเพ็ญ เกิดอาการปวดท้องคลอด จึงยืนพิงต้นสาละ มือขวาเหนี่ยวกิ่ง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แล้วคลอดโอรส โดยท่ายืน ไม่มีอาการปวดร่างกาย ไม่มีเลือดแปดเปื้อน จากนั้นมีธารน้ำเย็น น้ำร้อนหลั่งลงมาจากอากาศ ล้างร่างกายกุมารน้อย กุมารเดิน 7 ก้าว แต่ละก้าวมีดอกบัวผุดมารองรับ กุมารกล่าวว่า เราเป็นยอดคน เป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ภพหน้าไม่มี เมื่อคลอดแล้วจึงเดินทางกลับกรุงกบิลพัสดุ์
หลังจากประสูติได้ 3 วัน อสิตดาบส ผู้มีฤทธิ์เดช ระดับ ฌาณสมาบัติ 8 ตรวจดูลักษณะกุมารแล้ว ก็กราบเท้าพระกุมารทันที แล้วหัวเราะ กล่าวว่า มหาบุรุษมาเกิดแล้ว แล้วก็ร้องให้ กล่าวว่า ตนต้องตายก่อน ไม่ทันเห็นกุมารตรัสรู้
หลังจากประสูติ 5 วัน มีการประชุม เพื่อตั้งชื่อเจ้าชาย มีพราหมณ์ 108 ท่านมาร่วมประชุม คัดเลือกพราหมณ์ที่ทำนายเก่งที่สุดมา 8 ท่าน สุดท้าย มีพราหมณ์ 7 ท่าน ยืนยันตรงกันว่า ถ้าไม่บวช จะได้เป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ ขยายอาณาเขตกินถึง 4 มหาสมุทร แต่ถ้าบวช จะได้เป็น ศาสดาเอกของโลก ส่วนพราหมณ์อีก 1 ท่าน มีนามว่า โกณฑัญญะ กล่าวยืนยันว่า จะออกบวชและตรัสรู้
ที่ประชุมตกลงว่า ให้เจ้าชายชื่อ สิทธัตถะ แปลว่า ผู้มีความต้องการสำเร็จ แต่มหาชนก็นิยมเรียก โคตมะ ตามชื่อพระโคตร
หลังจากประสูติ 7 วัน พระนางมายา สิ้นพระชนม์ ไปเกิดเป็นเทพ อยู่ที่ สวรรค์ ชั้นดุสิต พระเจ้าสุทโธทนะจึงแต่งงานใหม่กับนางปชาบดี ผู้เป็นน้องสาวของ พระนางมายา แล้วให้พระนางปชาบดีเลี้ยงดูเจ้าชายสิทธัตถะ
วันหนึ่ง กุมารน้อย นั่งขัดสมาธิ รู้ลมหายใจ เข้า ออก (อานาปานสติกัมมัฎฐาน) อยู่ที่ใต้ต้นหว้า เกิดปฐมฌาน เมื่อ พระอาทิตย์ คล้อยไปตามเวลาบ่าย แต่เงาของต้นหว้าไม่เคลื่อนเลย
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ อายุ 7 ปี พระบิดาก็ขุดสระสวยงาม 3 สระให้เล่น แล้วเริ่มให้เรียน วิชาการ 18 สาขา มีวิชา ยิงธนู เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ อายุ 16 ปี พระบิดา เห็นว่า ต้องบำรุงเรื่องกาม ให้เจ้าชายจะได้ไม่อยากออกบวชตามคำทำนาย ก็สร้างปราสาท 3 หลัง เพื่อให้ ประทับ 3 ฤดู แล้ว สู่ขอ พระนางพิมพา (ธิดาแห่งแคว้น โกลิยวงศ์) มาเป็น ชายา ในปราสาท 3 หลังนี้ มีหญิงงามจำนวนมาก ไม่มีชายเจือปนเลย เจ้าชายสิทธัตถะ อยู่เช่นนี้จน อายุ 29 ปี
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ อายุ 29 ปี ได้มีบุตร ชื่อ ราหุล
ต่อมา เทวดา ก็สร้างภาพให้เจ้าชายเห็น คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ สมณะ (เทวฑูต 4) เจ้าชายสลดใจในชีวิตคนที่มีแต่ความทุกข์ จึงตัดสินใจออกบวชเพื่อหาหนทางพ้นทุกข์
ในคืนที่จะหนีออกจากวังนั้น เดินออกมาก็เห็นหญิง หลายคน นอนน้ำลายไหล กรน อ้าปากค้าง อุจจาดตา เจ้าชาย อุทานว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ แล้วให้คนรับใช้ ชื่อ ฉันนะ นำม้า ชื่อ กัณฐกะ ออกติดตามตนเอง ไปด้วย
เมื่อออกจากวังมาถึง แม่น้ำ อโนมานที ก็ใช้มีดตัดผมของตนเอง อธิฐานว่า ถ้าตนจะตรัสรู้ขอให้เส้นผมลอยในอากาศ แล้วปล่อยผมในอากาศ ปรากฏว่า ผมลอยได้ เทวดา เห็นดังนี้ จึงรีบมาเก็บไปบูชาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พระพรหมเห็น ดังนี้ จึง นำบาตร พร้อมจีวรมาถวาย
ม้ากัณฐกะ เห็นว่าเจ้าชายสิทธัตถะ จะจาริกไปคนเดียวไม่กลับวังอีกแล้ว ก็หัวใจแตกสลาย สิ้นใจในทันที แล้วไปเกิดเป็นเทพ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เจ้าชายสิทธัตถะ เดินทางมาถึงแคว้น มัลละ พระเจ้าพิมพิสารทราบข่าว เห็นว่าเจ้าชายเป็นผู้มีบุญมากและเป็นเชื้อเจ้า จึงไปเชิญมาครองเมือง แต่เจ้าชาย บอกว่า ไม่ปรารถนา กามสุข ปฏิเสธไป พระเจ้าพิมพิสารจึง อนุโมทนา แล้วขอว่า ท่านตรัสรู้แล้ว ขอมาโปรดข้าพระองค์ด้วย
เจ้าชาย เริ่มต้นจาก แสวงหาอาจารย์ที่เก่งที่สุด จึงไปที่ อาฬารดาบส ผู้มีฤทธิ์ ระดับ ฌาณสมาบัติ 7 เจ้าชายก็เรียนรู้ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ก็ยังเห็นว่า “ไม่ใช่” จากนั้นก็เดินทางไปหาอาจารย์อีกหลายสำนักแล้ว เห็นว่า นี่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
เจ้าชาย บำเพ็ญคนเดียวในป่า ต่อมา โกณฑัญญะ พราหมณ์ กับพวก รวม 5 คน เรียกว่า ปัญจวัคคีย์ ก็มาติดตามเจ้าชาย
ณ ตำบล อุรุเวลาเสนานิคม แคว้น มคธ เจ้าชายทรมานตนเอง (อัตตกิลมถานุโยค) โดย กัดฟัน กั้นลมหายใจ อดอาหาร จนร่างกายโทรมเดินก็จะล้ม ก็เห็นว่า นี่ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ ขณะนั้น ท้าวสักกเทวราช (เทวดา) ลงมาดีดพิณ 3 สาย ให้ฟัง เจ้าชายฟังแล้ว เห็นว่า มีเส้นเดียวเสียงไพเราะ คือ เส้นที่ไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไป เจ้าชายจึงบอกว่า นี่แหละ คือ ทางสายกลาง (มัชฌิมาปฎิปทา) เป็นทางตรัสรู้
จากนั้นก็เริ่มทางสายกลางโดย การทานอาหาร เพื่อให้มีแรง ขณะนั้น มีนาง สุชาดา นำข้าวใส่ในถาดทองคำมาถวาย เจ้าชาย ทานข้าวแล้ว อธิฐานว่า ถ้าจะได้ตรัสรู้ขอให้ถาดข้าวนี้ลอยทวนกระแสน้ำ แล้ววางถาดในแม่น้ำ เนรัญชรา ปรากฏว่า ถาดลอยทวนกระแสน้ำไปไกล 80 ศอก แล้วจมดิ่งไปยังเมืองของพระยานาคราช
ปัญจวัคคีย์ เห็นว่าเจ้าชาย ไม่อดอาหารแล้ว เห็นว่า เจ้าชาย คลายความเพียร จึงเลิกติดตามเจ้าชาย
ต่อมา เจ้าชายบำเพ็ญตามทางสายกลาง มารกลัวจะเสียอำนาจของตน จึงมาขัดขวางการบำเพ็ญ (มารผจญ) แต่เจ้าชายระลึก บารมี 10 ทัศ เพื่อขับไล่มาร ขณะนั้น มีพระแม่ธรณี มาช่วยขับไล่มารด้วยอีกแรง
เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อน พ.ศ.45 ปี เจ้าชาย อายุ 35 ปี ที่ ใต้ต้นโพธิ์ ตำบล อุรุเวลาเสนานิคม เจ้าชายบรรลุ เป็นขั้นๆ เริ่มจาก ระลึกชาติได้ ไปสู่ หยั่งรู้การเกิดดับของสัตว์ทั้งปวง ไปสู่ รู้แจ้งถึงอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วตรัสรู้โดยสมบูรณ์
หลังจากตรัสรู้แล้ว อยู่เสวยวิมุติสุข 7 สัปดาห์ รวม 49 วัน สัปดาห์ ที่ 1 พิจารณา ปฎิจจสมุปบาท สัปดาห์ที่ 2 เพ่งดูรัตนบัลลังก์ โดยไม่กระพริบตาเลย สัปดาห์ที่ 3 เดินจงกลม สัปดาห์ที่ 4 พิจารณา อภิธรรมปิฏก สัปดาห์ที่ 5 กล่าวแก่ พราหมณ์หุหุชาติว่า ผู้สำรวม ไม่มีกิเลส จึงเรียกว่าพราหมณ์ และ มีธิดามาร 3 คน เข้ามายั่วยวน ราคะ พระพุทธองค์ก็ขับไล่ไปเสีย สัปดาห์ ที่ 6 มีฝนตก มีพญานาคมาแผ่พังพาน กันฝนให้ สัปดาห์ที่ 7 นั่งเสวยวิมุติสุขใต้ต้นไม้เกด
ต่อมา สองพี่น้อง อาชีพค้าขาย เดินทางผ่านมา พบพระพุทธเจ้า จึงถวายอาหารแล้วรับเส้นผมของพระพุทธเจ้า 8 เส้น ไปบูชา
จากนั้น พระพุทธเจ้าก็ ไม่คิดจะเผยแพร่ธรรม เพราะ ธรรมเป็นของละเอียด และ ลึกซึ่งเกินไป พระพรหม รู้เช่นนี้ จึงรีบลงมาขอให้เผยแพร่ศาสนา
พระพุทธองค์ พิจารณาว่า คนเปรียบดั่ง บัว 4 เหล่า คือ 1 บัวพ้นน้ำ คือ ฟังไม่นานก็บรรลุ 2 บัวเสมอน้ำ คือ ผู้บรรลุเพราะได้รับการอธิบาย 3 บัวใต้น้ำ คือ ผู้บรรลุเพราะถูกสอนบ่อยๆ 4 บัวใต้โคลน สอนยังไงก็ไม่เข้าใจ จากนั้น ก็ตัดสินใจประกาศศาสนา
ลำดับแรก พระพุทธองค์ ประสงค์จะเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ เพราะ ใฝ่รู้ธรรมอยู่ก่อนแล้ว น่าจะรู้ธรรมได้ง่าย จึงเทศนาครั้งแรก ใน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี ธรรมชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มี 3 เรื่อง คือ 1 อย่าหมกมุ่นในกาม และ อย่าได้ทรมานตนเอง เพราะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ 2 เดินทางสายกลาง (มัชฌิมาปฎิปทา)
ทางสายกลางในที่นี้ คือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่
1 สัมมาทิฐิ เห็นชอบ
2 สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ
3 สัมมาวาจา เจรจาชอบ
4 สัมมากัมมันตะ การงานชอบ
5 สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ
6 สัมมาวายามะ เพียรชอบ
7 สัมมาสติ ระลึกชอบ
8 สัมมาสมาธิ ตั้งใจไว้ชอบ 3 อริยสัจ 4 มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นกระบวนการทำงานของความทุกข์
โกฑัญญะ ซึ่งเป็นหัวหน้าของปัญจวัคคีย์ ได้ฟังธรรมแล้ว บรรลุโสดาบันทันที ด้วยความเห็นว่า สิ่งเกิดเป็นธรรมดา ก็ย่อมดับเป็นธรรมดา จากนั้นขอบวชกับพระพุทธเจ้า เป็นพระสงฆ์ องค์แรกของโลก ทำให้เกิด พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขึ้นในโลก และ ตั้งเป็นวัน อาสาฬหบูชา
ต่อมามีการเทศ อีกครั้งหนึ่ง ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 คน ได้ฟังแล้วบรรลุอรหันต์ โดยหลักธรรมที่ว่า ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น
ต่อมา มีพระสงฆ์ครบ 60 รูป พระพุทธองค์ ต้องการให้ศาสนาขยายออกไปในวงกว้าง จึงให้พระสงฆ์จาริกไปโดยลำพัง อย่าไปทางเดียวกันสองรูป แล้วจงแสดงธรรมอันงดงามแก่ชาวบ้าน
วันหนึ่ง มีชายหนุ่ม 30 คน ชวนสาวๆ รวมทั้ง โสเภณี มาเสพกามราคะ ในป่า แต่พบพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ ถามว่า หาอะไรด้วยหญิงเล่า หาในตนเองไม่ดีกว่าหรือ แล้วเทศนาให้ฟัง มีบางคนบรรลุโสดาบันทันทีแล้วขอบวชกับพระพุทธเจ้า
ต่อมา พระพุทธองค์เดินทางถึง ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมืองราชคฤห์ พบ ชฏิล 4 พี่น้อง เป็นลัทธิบูชาไฟ มีสาวก รวม 1,000 คน จึงได้แสดงปาฏิหารย์เพื่อลดทิฐิมานะของชฎิล ในที่สุด ชฏิล 4 พี่น้อง และ สาวกทั้งหมด ก็ยอมในธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วขอบวชเป็นพระสงฆ์ ทำให้พระพุทธองค์ได้พระสงฆ์สาวกเพิ่มอีก
ต่อมา พระเจ้าพิมพิสาร นิมนต์พระสงฆ์ไปฉันอาหารในวัง ก็เห็นว่า กว่าจะนิมนต์ได้นี่ พระต้องเดินทางไกลเกินไป จึงอยากให้พระอยู่ในชุมชน จึงขอสร้างวัดถวาย วัดนี้ ชื่อ วัดเวฬุวัน เป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา
ต่อมา มีชายสองคน เบื่อหน่ายเรื่องทางโลก จึงมาบวชในพระพุทธศาสนา คนหนึ่ง ชื่อ พระสารีบุตร เป็นเลิศด้านปัญญา อีกคนชื่อ พระโมคคัลลานะ เป็นเลิศด้านมีอิทธิฤทธิ์
ต่อมา วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 (วันมาฆบูชา) มีพระอรหันต์ 1,250 รูป มาประชุมกัน ที่ วัดเวฬุวนาราม แคว้นมคธ (ที่ตั้งหลักของพระพุทธศาสนา) โดยไม่มีการนัดหมาย พระพุทธองค์ แสดงธรรม ชื่อว่า โอวาทปาฎิโมกข์ ใจความว่า อดทนเผากิเลศ ไม่ทำบาป ทำกุศล ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย สำรวม และ อยู่ในที่สงัด เพียรในจิตของตน
ต่อมาพระพุทธองค์ เดินทางมาที่ กรุงกบิลพัสดุ์ ภูมิลำเนา ของพระพุทธองค์ แต่บรรดาญาติ ไม่เคารพพระพุทธองค์เลย พระพุทธองค์จึงเหาะในอากาศ เพื่อทำลายความถือตัวของญาติ แล้วเสกให้ฝนเม็ดสีแดง ตกจากฟ้า คนที่ไม่อยากให้เปียก ก็จะไม่เปียก คนที่อยากให้เปียกก็จะเปียก ทุกคนจึงเลื่อมใสพระพุทธองค์
วันต่อมา พระพุทธองค์ เดินบิณฑบาตร พระเจ้าสุทโธทนะ เห็นว่า เสียเกียรติเชื้อเจ้า เป็นเจ้า จะมาขออาหารชาวบ้านกินได้อย่างไร พระพุทธองค์ตอบว่า นี่่คือ สมณะ เป็นทางสุข
หลังจากตรัสรู้พระพุทธองค์ก็ได้ เทศนาตลอด 45 ปี จนพระพุทธองค์ อายุ 80 ปี ก็เริ่มมีอาการป่วย และรู้ว่า อาจจะปรินิพพาน แต่มีทางหนึ่งที่จะทำให้ไม่ต้องปรินิพพาน คือ การให้ พระอานนท์พูดขอให้พระพุทธองค์มีชีวิตอยู่ต่อ แต่จะบอกพระอานนท์ให้ขอตรงๆไม่ได้ จึงทำปริศนาบางอย่างเพื่อให้พระอานนท์ เดาได้เอง แล้วกล่าวขอให้พระพุทธองค์อยู่ต่อ
พระพุทธองค์จึงกล่าวแก่พระอานนท์ว่า อานนท์ ผู้ใดจะอยู่ต่อ ก็สามารถทำได้ ในขณะที่พระอานนท์ยังเดาปริศนาไม่ออกนั้น พญามารก็ใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้พระอานนท์ ไม่เข้าใจปริศนา พญามารฉวยโอกาสขอให้พระพุทธเจ้าปรินิพพาน โดยอ้างว่า บัดนี้ ศาสนาพุทธแข็งแกร่งแล้ว พระพุทธองค์ก็ยอมรับว่าจะปรินิพพาน ภายใน 3 เดือน การตกลงใจปรินิพพาน ทำให้เกิดแผ่นดินไหวทันที
พระพุทธองค์ ประทับ ณ เมือง ปาวา มีนาย จุนทะ นำเนื้อสุกรอ่อน มาถวาย เมื่อฉันท์แล้วก็ป่วย แล้วแจ้งความประสงค์จะปรินิพพานที่ เมืองกุสินารา เพราะ รู้ว่าที่เมืองกุสินารา มี นาย สุภัททะ ที่จะสามารถบวชและ บรรลุอรหันต์ได้
ในวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปี มะเส็ง ณ ป่าสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา หลังจากนายสุภัททะ บวชและก็สำเร็จอรหันต์ในคืนนั้นเองแล้ว พระพุทธองค์ก็ปรินิพพาน ขณะอายุ 80 ปี เรียกวันนี้ว่า วันวิสาขบูชา คือ วันที่พระพุทธเจ้า ประสูตร ตรัสรู้ ปรินิพพาน
ต่อมาไม่นาน มีพระเริ่มกล่าวว่า สิ่งไหนเป็นคำสอนและ สิ่งไหนไม่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์เริ่มสับสน พระมหากัสป จึงทำการสังคายนาคำสอนของพระพุทธเจ้า ครั้งที่ 1 หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 3 เดือน ณ เมือง ราชคฤห์ ใช้พระสงฆ์ 500 รูป รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมป์
สังคายนาครั้งที่ 2 ทำหลังจากปรินิพพาน 100 ปี
ครั้งที่ 3 ทำหลังปรินิพพาน 234 ปี
ครั้งที่ 4 ทำหลังปรินิพพาน 236 ปี
ครั้งที่ 5 ทำหลังปรินิพพาน 450 ปี โดยการสังคายนา ครั้งที่ 5 มีการบันทึกเป็นลายลักอักษรบนใบลาน เป็นครั้งแรก
ความรู้ทั่วไป ใช้สำหรับสอบวัดความรู้ของมหาเถรสมาคม
ในชมพูทวีป แบ่ง 4 วรรณะ มี 1 กษัตริย์ หน้าที่ปกครอง 2 พราหมณ์ สอน และ ทำพิธี 3 แพศย์ ค้าขาย 4 ศูทร รับจ้าง ใครที่สมสู่ข้ามวรรณะแล้วมีลูก ลูกจะเป็น จัณฑาล เป็นชั้นต่ำสุดๆ ถูกเหยียดหยามจากคนทั้งปวง
อุบาสก อุบาสิกา ทำพิธีเวียนเทียน ปีละ 3 วัน คือ
1 วันวิสาขบูชา (ประสูตร ตรัสรู้ ปรินิพพาน)
2 วันมาฆบูชา (พระอรหันต์ 1,250 องค์ มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย และ พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์)
3 วันอาสาฬหบูชา (วันที่พระพุทธเจ้าเทศนาเป็นครั้งแรก เรียกชื่อธรรมว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร)
วันอัฏฐมีบูชา เป็นวันถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า ที่เมืองกุสินารา (เฉพาะพระสงฆ์ จะเวียนเทียนวันนี้ด้วย)
ธรรมมีอุปการะมาก 1 สติ ระลึกได้ 2 สัมปชัญญะ รู้สึกตัว
ธรรมคุ้มครองโลก ให้คนสัตว์อยู่ร่วมอย่างสงบ 1 หิริ ละอายบาป 2 โอตตัปปะ เกรงกลัวบาป
ธรรมอันทำให้กิริยาวาจางาม 1 ขันติ อดทน 2 โสรัจจะ เสงี่ยม
บุคคลหาได้ยาก 1 บุพการี อุปการะก่อน 2 กตัญญูกตเวที รู้อุปการะแล้วตอบแทน
รัตนะ 3 คือ แก้ว 1 พระพุทธ 2 พระธรรม 3 พระสงฆ์
คุณของรัตนะ 3 คือ 1 พระพุทธเจ้ารู้ดีรู้ชอบเองก่อน แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม 2 พระธรรม รักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว 3 พระสงฆ์ ปฏิบัติตามคำสอน แล้วสอนผู้อื่น
อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน 3 คือ 1 เพื่อผู้ฟังรู้แจ้งเห็นจริง 2 สอนมีเหตุ ตรองตามได้ 3 สอนเป็นอัศจรรย์ อาทิ พระองคุลิมาล กลับใจไม่ฆ่าคน
โอวาทของพระพุทธเจ้า 3 คือ 1 เว้นจากทุจริต (ชั่วด้วยกาย วาจา ใจ) 2 ประกอบสุจริต (ชอบด้วยกาย วาจา ใจ) 3 ทำใจตนให้หมดจากเครื่องเศร้าหมอง มี โลภ โกรธ หลง เป็นต้น
ทุจริต 3 คือ กาย วจี มโน
สุจริต 3 คือ กาย วจี มโน
อกุศลมูล 3 คือ โลภะ โทสะ โมหะ
กุศลมูล 3 อโลภะ อโทสะ อโมหะ
สัปปุริสบัญญัติ 3 (สัตบุรุษตั้งไว้ หรือ เรียกว่า ปัณฑิตบัญญัติ ) คือ 1 ทาน สละสิ่งของแก่ผู้อื่น 2 ปัพพัชชา ถือบวชเป็นอุบายเว้นจากเบียดเบียน 3 มาตาปิตุอุปัฏฐาน ปฏิบัติให้มารดาบิดาเป็นสุข
อปัณณกปฏิปทา 3 (ปฏิบัติแล้วไม่ผิด) คือ 1 สำรวมอินทรีย์ 2 กินอาหารพอควร 3 ไม่เห็นแก่นอนมากนัก
บุญกิริยาวัตถุ 3 (ที่ตั้งแห่งอานิสงส์) คือ ทานมัย บริจาคทาน 2 สีลมัย รักษาศีล 3 ภาวนามัย เจริญภาวนา
ไตรลักษณะ 3 (ความเสมอกันแห่งสังขาร) คือ 1 อนิจจตา ไม่เที่ยง 2 ทุกขตา เป็นทุกข์ 3 อนัตตตา ไม่ใช่ตน
วุฑฒิ 4 (เหตุแห่งความเจริญ) 1 สัปปุริสสังเสวะ คบสัตบุรุษ 2 สัทธัมมัสสวนะ ฟังคำสอนของสัตบุรุษ 3 โยนิโสมนสิการะ ตริตรอง 4 ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรม
จักร 4 (ล้อรถสู่ความเป็นใหญ่) คือ 1 อยู่ในประเทศอันสมควร 2 คบสัตบุรุษ 3 ตั้งตนไว้ชอบ 4 ทำความดีไว้ในปางก่อน
อคติ 4 (ลำเอียง เสียความยุติธรรม) คือ 1 ฉันทาคติ รักใคร่ 2 โทสาคติ ไม่ชอบ 3 โมหาคติ โง่ 4 ภยาคติ กลัว
อันตรายของผู้บวชใหม่ 4 คือ 1 อดทนต่อคำสอนไม่ได้ 2 เห็นแก่ปากท้อง 3 เพลิดเพลินในกามคุณ 4 รักผู้หญิง
ปธาน 4 (สิ่งที่ควรเพียร) คือ 1 สังวรปธาน ระวังบาปไม่ให้เกิด 2 ปหานปธาน ละบาปที่เกิดแล้ว 3 ภาวนาปธาน ให้กุศลเกิดในสันดาน 4 อนุรักขนาปธาน รักษากุศลไม่ให้เสื่อม
อธิษฐานธรรม 4 (สิ่งที่ควรตั้งไว้ในใจ) 1 ปัญญา รอบรู้ 2 สัจจะ จริงใจ 3 จาคะ สละ 4 อุปสมะ สงบใจ
อิทธิบาท 4 (ความสำเร็จ) 1 ฉันทะ ใจรัก 2 วิริยะ เพียร 3 จิตตะ ฝักใฝ่ ไม่วางธุระ 4 วิมังสา ตริตรองเหตุผล
ปาริสุทธิศีล 4 (ศีลบริสุทธิ์) คือ 1 ปาติโมกขสังวร สำรวมในพระปาติโมกข์ 2 อินทรียสังวร สำรวมอินทรีย์ 3 อาชีวปาริสุทธิ เลี้ยงชีวิตชอบ 4 ปัจจยปัจจเวกขณะ พิจารณาปัจจัยก่อนบริโภค
อารักขกัมมัฎฐาน 4 (เครื่องรักษาใจ) คือ 1 พุทธานุสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า 2 เมตตา แผ่ไมตรีจิต 3 อสุภะ พิจารณาร่างกายว่าไม่งาม 4 มรณัสสติ นึกถึงความตายอันจักมีแก่ตน
พรหมวิหาร 4 (พรหมปฏิบัติ) คือ 1 เมตตา รักใคร่ 2 กรุณา สงสาร 3 มุทิตา พลอยยินดี 4 อุเบกขา วางเฉย
สติปัฏฐาน 4 (ควรพิจารณา) คือ 1 กายานุปัสสนา กาย 2 เวทนานุปัสสนา เวทนา 3 จิตตานุปัสสนา จิต 4 ธัมมานุปัสสนา ธรรม
อริยสัจ 4 (ความจริงอันประเสริฐ) คือ 1 ทุกข์ ไม่สบายกาย-ใจ 2 สมุทัย เหตุเกิดทุกข์-ตัณหา 3 นิโรธ ดับทุกข์ 4 มรรค ข้อปฏิบัติให้ดับทุกข์
อนันตริยกรรม 5 (กรรมหนัก) คือ 1 มาตุฆาต ฆ่ามารดา 2 ปิตุฆาต ฆ่าบิดา 3 อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ 4 โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงเลือดห้อขึ้น 5 สังฆเภท ยังสงฆ์ให้แตกจากกัน
อภิณหปัจจเวกขณ์ 5 (สิ่งควรพิจารณาทุกวันๆ) คือ 1 แก่ 2 เจ็บ 3 ตาย เป้นธรรมดา 4 พรัดพราก ทั้งสิ้น 5 มีกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
เวสารัชชกรณธรรม 5 (กล้าหาญ) คือ 1 สัทธา เชื่อ 2 สีล รักษากายวาจาเรียบร้อย 3 พาหุสัจจะ ศึกษามาก 4 วิริยารัมภะ เพียร 5 ปัญญา รอบรู้
องค์แห่งภิกษุใหม่ 5 (บวชไม่เกิน 5 ปี ควรทำ) คือ 1 สำรวจในพระปาติโมกข์ 2 สำรวมอินทรีย์ 3 ไม่เอิกเกริกเฮฮา 4 อยู่เสนาสนะสงัด 5 มีความเห็นชอบ
ธรรมกถึก 5 (การเทศนา) คือ 1 แสดงธรรมโดยลำดับ 2 อ้างเหตุผล 3 ตั้งจิตเมตตา 4 ไม่เห็นแก่ลาภ 5 ไม่กระทบตนและผู้อื่น
อานิสงส์การฟังธรรม 5 คือ ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง 2 ถ้าเคยได้ฟังแล้วก็เข้าใจชัดขึ้น 3 บรรเทาสงสัย 4 ทำความเห้นให้ถูกต้อง 5 จิตผ่องใส
พละ 5 (กำลังในการสู้ศึก) คือ 1 สัทธา เชื่อ 2 วิริยะ เพียร 3 สติ ระลึกได้ 4 สมาธิ ตั้งใจมั่น 5 ปัญญา รอบรู้
นิวรณ์ 5 (ไม่ให้บรรลุความดี) คือ 1 กามฉันทะ รักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจ 2 พยาบาท ปองร้าย 3 ถีนมิทธะ หดหู่ใจและเคลิบเคลิ้ม 4 อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านและรำคาญ 5 วิจิกิจฉา ลังเล
ขันธ์ 5 (ประกอบเป็นกายกับใจ) คือ 1 รูปขันธ์ 2 เวทนาขันธ์ 3 สัญญาขันธ์ 4 สังขารขันธ์ 5 วิญญาณขันธ์
สาราณียธรรม 6 (ที่ตั้งแห่งความสามัคคีในพระ) คือ 1 เข้าไปตั้งในกายกรรม 2 วจีกรรม 3 มโนกรรม โดย, 1-3 ประกอบด้วยเมตตา 4 แบ่งปันลาภ 5 รักษาศีลเสมอกันกับเพื่อน 6 มีความเห้นร่วมกันกับเพื่อน
อายตนะภายใน 6 คือ 1 จักขุ ตา 2 โสตะ หู 3 ฆานะ จมูก 4 ชิวหา ลิ้น 5 กายะ กาย 6 มนะ ใจ
อายตนะภายนอก 6 คือ 1 รูปะ รูป 2 สัทธะ เสียง 3 คันธะ กลิ่น 4 รสะ รส 5 โผฏฐัพพะ ผัสสะที่ถูกต้องกาย 6 ธัมมะ ธรรมมารมณ์ อารมณ์ที่เกิดกับใจ
ธาตุ 6 (ไม่ใช่เรา) คือ 1 ปฐวี ดิน 2 อาโป น้ำ 3 เตโช ไฟ 4 วาโย ลม 5 อากาส ช่องว่างในกาย 6 วิญญาณ รู้
อปริหานิยธรรม 7 (ความไม่เสื่อมของพระ) คือ 1 หมั่นประชุม 2 ประชุม-เลิก พร้อมเพรียง 3 ไม่บัญญัติ-ถอนสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ 4 เชื่อฟังถ้อยคำประธานการประชุม 5 ไม่ลุอำนาจ 6 ยินดีในเสนาสนะป่า 7 ระลึกว่าภิกษุสามเณรมีศีล ที่ไม่มาขอให้มา(พัก) ที่มาแล้วให้อยู่เป็นสุข
อริยทรัพย์ 7 (ทรัพย์ในใจ) คือ 1 สัทธา เชื่อ 2 ศีล รักษากายวาจาเรียบร้อย 3 หิริ ละอายบาป 4 โอตตัปปะ เกรงกลัวบาป 5 พาหุสัจจะ ได้ยินได้ฟังมาก 6 จาคะ สละสิ่งของให้คนที่ควรให้ 7 ปัญญา รอบรู้
สัปปุริสธรรม 7 (ทำให้เป็นสัตบุรุษ) คือ 1 ธัมมัญญุตา รู้จักเหตุ 2 อัตถัญญุตา รู้จักผล 3 อัตตัญญุตา รู้จักตน 4 มัตตัญญุตา รู้จักประมาณ 5 กาลัญญุตา รู้จักกาล 6 ปริสัญญุตา รู้จักชุมชน 7 ปุคคลปโรปรัญญุตา รู้จักเลือกคบบุคคล
โพชฌงค์ 7 (ทำให้ตรัสรู้) คือ 1 สติ ระลึกได้ 2 ธัมมวิจยะ สอดส่องธรรม 3 วิริยะ เพียร 4 ปีติ อิ่มใจ 5 ปัสสัทธิ สงบใจ 6 สมาธิ ตั้งใจมั่น 7 อุเบกขา วางเฉย
โลกธรรม 8 (ครอบงำสัตว์โลก) คือ 1 มีลาภ 2 ไม่มีลาภ 3 มียศ 4 ไม่มียศ 5 นินทา 6 สรรเสริญ 7 สุข 8 ทุกข์
ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8 คือ 1 คลายกำหนัด 2 ปราศจากทุกข์ 3 ไม่สะสมกองกิเลส 4 อยากน้อย 5 สันโดษยินดีด้วยของที่มี 6 สงัดจากหมู่ 7 เพียร 8 เลี้ยงง่าย จึงเป็นธรรม วินัย คำสอนของพระศาสดา
มรรค 8 (ข้อปฏิบัติให้ดับทุกข์) คือ 1 สัมมาทิฐิ เห็นชอบ 2 สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ 3 สัมมาวาจา เจรจาชอบ 4 สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ 5 สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ 6 สัมมาวายะมะ เพียรชอบ 7 สัมมาสติ ระลึกชอบ 8 สัมมาสมาธิ ตั้งใจไว้ชอบ
มละ 9 (มลทินใจ) คือ 1 โกรธ 2 ลบหลู่บุญคุณ 3 ริษยา 4 ตระหนี่ 5 มารยา 6 มักอวด 7 พูดปด 8 ปรารถนาลามก 9 เห็นผิด
กรรมกิเลส 4 (คฤหัสถ์เศร้าหมอง) คือ 1 ทำชีวิตสัตว์ตกล่วง 2 ถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ 3 ผิดในกาม 4 พูดเท็จ
อบายมุข 4 (คฤหัสถ์ฉิบหาย) คือ 1 นักเลงหญิง 2 นักเลงสุรา 3 นักเลงพนัน 4 คบคนชั่ว
ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4 (ความสุขในปัจจุบัน) คือ 1 อุฏฐานสัมปทา ขยันหมั่นเพียร 2 อารักขสัมปทา รักษาความรู้และทรัพย์ 3 กัลลยาณมิตตตา มีเพื่อนเป็นคนดี 4 สมชีวิตา เลี้ยงชีพตามสมควร ไม่ฟุ่มเฟือย
สัมปรายิกัตถประโยชน์ 4 (ความสุขในภายหน้า)หรือ ธรรมเป็นเหตุให้สมหมาย คือ ถึงพร้อมด้วย 1 สัทธาสัมปทา 2 สีลสัมปทา 3 จาคสัมปทา 4 ปัญญาสัมปทา
มิตรเทียม 4 (คฤหัสถ์ไม่ควรคบ) คือ 1 คนปอกลอก 2 คนดีแต่พูด 3 คนหัวประจบ 4 คนชักชวนฉิบหาย
มิตรแท้ 4 (คฤหัสถ์ควรคบ) คือ 1 มิตรอุปการะ 2 มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ 3 มิตรแนะประโยชน์ 4 มิตรมีความรักใคร่
สังคหวัตถุ 4 (คฤหัสถ์ใช้ยึดเหนี่ยวเพื่อน) คือ 1 ทาน การให้ 2 ปิยวาจา เจรจาอ่อนหวาน 3 อัตถจริยา ประพฤติเป็นประดยชน์ 4 สมานัตตตา ไม่ถือตัว
สุขของคฤหัสถ์ 4 คือ 1 มีทรัพย์ 2 จ่ายทรัพย์ 3 ไม่เป็นหนี้ 4 การงานปราศจากโทษ(สุจริต)
ตระกูลมั่งคั่งตั้งอยู่ไม่นาน 4 คือ 1 ไม่แสวงหาพัสดุที่หาย 2 ไม่บูรณะพัสดุคร่ำครา 3 ไม่ประมาณการบริโภค 4 ตั้งคนทุศีลเป็นพ่อเรือน
ธรรมของฆารวาส 4 (ใช้กับครอบครัว) คือ 1 สัจจะ ซื่อสัตย์ 2 ทมะ ข่มจิต 3 ขันติ อดทน 4 จาคะ สละสิ่งของๆตน
การใช้โภคทรัพย์5 (เจริญโภคทรัพย์) คือ 1 เลี้ยงตน มารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ ให้เป็นสุข 2 เลี้ยงเพื่อน 3 บำบัดอันตราย เช่น โรคภัย 4 ทำพลี 5 ได้แก่ ญาติ แขก ผู้ตาย ภาษี เทวดา 5 บริจาคทานแก่สมณพราหมณ์
มิจฉาวณิชชา 5 (คฤหัสถ์ไม่ควรขาย) 1 เครื่องประหาร เช่น ปืน เบ็ด 2 มนุษย์ 3 สัตว์เป็นเพื่อฆ่าเป็นอาหาร 4 น้ำเมา 5 ยาพิษ
สมบัติของอุบาสก 5 (ผู้นับถือพระพุทธศาสนา) คือ 1 มีศรัทธา 2 มีศีล 3 ไม่ถือมงคล แต่เชื่อกรรม 4 ไม่แสวงบุญนอกเขตพระพุทธฯ 5 บำเพ้ญบุญในพระพุทธฯ
ทิศ 6 (ความสัมพันธ์ทางสังคม) 1 เบื้องหน้า มารดาบิดา 2 เบื้องขวา ครูอาจารย์ 3 เบื้องหลัง บุตรภรรยา 4 เบื้องซ้าย มิตร 5 เบื้องล่าง บ่าวไพร่ 6 เบื้องบน สมณพราหมณ์
บุตรพึงบำรุงมารดาบิดา 5 คือ 1 เลี้ยงดูท่าน 2 ช่วยทำกิจ 3 ดำรงวงศ์สกุล 4 ประพฤติตนเป็นคนควรรับมรดก 5 เมื่อท่านล่วงลับ อุทิศกุศลให้
มารดาบิดา อนุเคราะห์บุตร 5 คือ 1 ห้ามมิให้ทำชั่ว 2 สอนให้ทำดี 3 ให้การศึกษา 4 หาคู่ครองให้ 5 มอบทรัพย์ให้
ศิษย์ บำรุง ครู 5 คือ 1 ยืนต้อนรับ 2 ยืนคอยรับใช้ 3 เชื่อฟัง 4 อุปัฏฐาก 5 เรียนด้วยความเคารพ
ครู อนุเคราะห์ ศิษย์ 5 คือ 1 แนะนำดี 2 ให้เรียนดี 3 บอกวิชาสิ้นเชิง ไม่อำพราง 4 ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง 5 ป้องกันในทิศทั้งหลาย
สามี บำรุง ภรรยา 5 คือ 1 ยกย่องว่าเป็นภรรยา 2 ไม่ดูหมิ่น 3 ไม่นอกใจ 4 มอบความเป็นใหญ่ 5 ให้เครื่องแต่งตัว
ภรรยา อนุเคราะห์สามี 5 คือ 1 จัดการงานดี 2 สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามีดี 3 ไม่ล่วงใจสามี 4 รักษาทรัพย์ที่สามีหามา 5 ขยันในการทั้งปวง
กุลบุตร บำรุง มิตร 5 คือ 1 ให้ปัน 2 เจรจาไพเราะ 3 ประพฤติเป็นประโยชน์ 4 มีความเสมอภาค 5 ไม่แกล้งกล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความจริง
มิตร อนุเคราะห์ กุลบุตร 5 คือ 1 รักษาเพื่อนผู้ประมาท 2 รักษาทรัพย์เพื่อนผู้ประมาท 3 เมื่อมีภัย ให้พึ่งได้ 4 ไม่ละทิ้งยามวิบัติ 5 นับถือตลอดวงศ์ของมิตร
นาย บำรุง บ่าว 5 คือ 1 มอบงานให้ตามสมควรแก่กำลัง 2 ให้อาหารและรางวัล 3 รักษาพยาบาล 4 แจกของมีรสแปลกให้กิน 5 ปล่อยในสมัย(ให้พักในวันเทศกาล)
บ่าว อนุเคราะห์ นาย 5 คือ 1 ทำงานก่อนนาย 2 เลิกงานหลังนาย 3 ถือเอาแต่ของที่นายให้ 4 ทำการงานให้ดีขึ้น 5 นำคุณของนายไปสรรเสริญ
กุลบุตร บำรุงสมณพราหมณ์ 5 คือ 1 กายกรรม ทำอะไรๆด้วยเมตตา 2 วจีกรรม พูดอะไรๆด้วยเมตตา 3 มโนกรรม คิดอะไรๆด้วยเมตตา 4 ไม่ปิดประตู ไม่ห้ามเข้าบ้าน 5 ให้อามิสทาน
สมณพราหมณ์ อนุเคราะห์ กุลบุตร 6 คือ 1 ห้ามมิให้ทำชั่ว 2 ให้ตั้งในความดี 3 อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจงาม 4 ให้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง 5 ทำสิ่งที่เคยฟังให้แจ่มแจ้ง 6 บอกทางสวรรค์ให้
อบายมุข 6 คือ 1 ดื่มน้ำเมา 2 เที่ยวกลางคืน 3 เที่ยวดูการละเล่น 4 เล่นการพนัน 5 คบคนชั่ว 6 เกียจคร้านทำงาน
ดื่มน้ำเมามีโทษ 6 คือ 1 เสียทรัพย์ 2 ก่อวิวาท 3 เกิดโรค 4 ถูติเตียน 5 ไม่รู้จักอาย 6บั่นทอนปัญญา
เที่ยวกลางคืน มีโทษ 6 คือ 1 ไม่รักษาตัว 2 ไม่รักษาลูกเมีย 3 ไม่รักษาทรัพย์ 4 เป็นที่ระแวงของคน 5 ถูกใส่ความ 6 ได้รับความลำบากมาก
เที่ยวดูการละเล่น มีโทษ 6 คือ 1 รำที่ไหน ไปที่นั่น 2 ขับร้องที่ไหน ไปที่นั่น 3 ดีดสีตีเป่าที่ไหนไปที่นั่น 4 เสภาที่ไหน ไปที่นั่น 5 เพลงที่ไหน ไปที่นั่น 6 เถิดเทิงที่ไหน ไปที่นั่น
เล่นการพนันทีโทษ 6 คือ 1 ชนะ ย่อมก่อเวร 2 แพ้ ย่อมเสียดายทรัพย์ 3 ทรัพย์ฉิบหาย 4 ไม่มีใครเชื่อถ้อยคำ 5 เป็นที่หมิ่นประมาท 6 ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย
คบคนชั่ว มีโทษ 6 คือ เป็น 1 นักเลงพนัน 2 เจ้าชู้ 3 นักเลงสุรา 4 ลวงเขาด้วยของปลอม 5 ลวงเขาซึ่งหน้า 6 นักเลงหัวไม้
เกียจคร้าน มักอ้างเลศ 6 คือ ไม่ทำงานอ้างว่า 1 หนาวนัก 2 ร้อนนัก 3 เวลาเย้นนัก 4 ยังเช้าอยู่ 5 หิวนัก 6 กระหายนัก
อุปสัมปทา การบวช มี 3 ประเภท 1 พระพุทธเจ้าบวชให้เอง 2 พระสาวกบวชให้ โดยให้กล่าว สรณะ 3 , 3 พระสาวกบวชให้ด้วย ญัตติ ,
การก สงฆ์ คือ จำนวนสงฆ์ 4 องค์ ได้แก่ สังฆทาน สวดศพ , 5 องค์ รับกฐิน ,10 องค์ บวชพระ ,20 องค์ ปาริวาสกรรม ,
นิสสัย 4 คือ พระควรทำ คือ 1 บิณฑบาตร 2 ใช้ผ้าบังสกุล 3 อยู่โคนต้นไม้ 4 ใช้ยาแชาน้ำมูตรเน่าเป็นเครื่องรักษาโรค นอกจากนี้ให้ถือเป็นอดิเรกลาภ เช่น อาหารที่ถวายที่วัด จีวรที่ถวายโอกาสพิเศษ การอยู่ในวัด หรือในถ้ำ หรือ ยาปฏิชีวนะ
อกรณียกิจ 4 คือ พระไม่ควรทำ คือ 1 เสพเมถุน 2 ลักขโมย 3 ฆ่าสัตว์ 4 อวดอุตตริมนุสสธรรม
สิกขา 3 คือ 1 ศีล (5,8,10,227,) 2 สมาธิ (สมถะ รู้แจ้ง ,วิปัสนา ศีลบริสุทธิ์ ) 3 ปัญญา รู้ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
พระวินัย คือ ระเบียบแบบแผนพระพุทธเจ้าบัญญัติเพื่อให้พระประพฤติลงรอยเดียวกัน จะได้เรียบร้อย น่าศรัทธา โทษ คือ ปรับอาบัติ
อาบัติ มีแบบแก้ได้ (อเตกิจฉา) มี ปาราชิก กับแก้ไม่ได้ (สเตกิจฉา) มี 1 สังฆาทิเสส 2 ถุลลัจจัย 3 ปาจิตตีย์ 4 ปาฏิเทสนียะ 5 ทุกกฏ 6 ทุพพาสิต
สิกขาบทในการสวดพระปาฏิโมกข์ มี 227 ข้อ คือ
ปาราชิก 4 ยังผู้ต้องให้พ่าย ได้แก่ 1 เสพเมถุน 2 ลักทรัพย์ 5 มาสก 3 ฆ่าคน 4 อวดอุตตริ ฯ
สังฆาทิเสส 13 ความละเมิด ได้แก่ 1 แกล้งทำน้ำอสุจิเคลื่อน 2 กำหนัดอยู่แล้วจับต้องกายหญิง 3 กำหนัดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง 4 กำหนัดอยู่พูดให้หญิงบำเรอตนด้วยกาม 5 เป็นสื่อให้คนเป็นผัวเมียกัน …….กล่าวหาภิกษุอื่นด้วยข้อหาปาราชิก ไม่มีมูล /ทำให้สงฆ์แตกกัน มีการสวดกรรมให้ละแล้ว ไม่ยอมละ/
อนิยต 2 นิสสัคคียปาจิตตีย์ 30 ปาจิตตีย์ 92 ปาฏิเทสนียะ4 เสขิยวัตร 75
บ้านอนุรักษ์สุนัขไทยหลังอานเชียงราย
ไลน์ ไอดี porntip9119
โทร 087-176-3192
เว็บไซด์ http://xn--22ck1cgd6cva9anw1bfp7evj.com/ ( www.สุนัขไทยหลังอาน.com )
เฟสบุ๊ค แฟนเพจ สุนัขไทยหลังอาน https://www.facebook.com/lovethairidgeback/?fref=ts
ที่ตั้งบ้าน ติดถนนพหลโยธิน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย แผนที่กูเกิ้ล คลิ๊ก http://goo.gl/cpk1ng
Thai Ridgeback Dog Conservation Center, Chiang Rai Line ID: porntip9119 Tel.: +668-7176-3192 Website: http://xn--22ck1cgd6cva9anw1bfp7evj.com/ ( www.สุนัขไทยหลังอาน.com )
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/lovethairidgeback (สุนัขไทยหลังอาน)
Location: Phahonyothin Road, Mae Sai District, Chiang Rai, Thailand. Find us on Google Map, click >> http://goo.gl/cpk1ng
ที่อยู่ที่นอน
แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดควรมีที่อยู่ที่นอนเป็นที่เป็นทางแลเป็นสัดเป็นส่วน อาจจะใช้ผ้าเก่า ๆ หรือเศษผ้านุ่ม ๆ หลายๆชั้น
ทำเป็นที่นอนขนาดเล็กใหญ่แล้วแต่ความเหมาะสม ส่วนการรรจะเลี้ยงดูแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดกกกไว้ในบ้านหรือไม่นั้นคงแล้วแต่
ความพร้อมของสมาชิกในครอบครัว ส่วนใหญ่แล้วหากมันยังเล็กอยู่ก็นิยมเลี้ยงไว่ในบ้านเพื่อคอยดูแล
และทำให้มันสนิทสนมกับคนในบ้านได้ง่าย แต่ต้องคอยดูแลเรื่องการขับถ่ายให้เป็นที่เป็นทาง
หากมีบริเวณบ้านมากพอ ควรเลี้ยงไว้นออกบ้าน โดยสร้างกรงที่ขมีขมันความแข็งแรง กว้างขวางตามขนาดของแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาด
ควรมีมุ้งกางให้แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดด้วย มีหลังคากันแดดกันฝนได้ และมีฝากันลมในทิศทางที่ถูกต้อง บริเวณที่ตั้งกรงควรเลือกเอา
ที่ร่ม ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่อับชื้น เวลากลางวันต้องมีแสงแดดส่องผ่านเข้าได้บ้างเพื่อฆ่าเชื้อโรค
และให้กรงแห้งพื้นกรงควรจะสะดวกในการทำความสะอาด ไม่เป็นที่หมักหมดของสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ
มีที่ระบายของเสียได้สะดวก
การตัดหาง
แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดบางพันธุ์นิยมตัดหาง ให้เหลือความยาวตามลักษณะในพันธุ์นั้นนิยม ซึ่งก็ควรตัดในขณะที่ยังมีอายยังน้อย ๆ อยู่
เพื่อที่จะไม่มีเลือดออกมามาก แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดไม่เจ็บปวด แผลหายเร็วและทำได้ง่ายโดยไม่ต้องวางยาสลบ ฉะนั้นแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดพันธุ์
ที่ต้องตัดหางหลังคลอดควรนำลูกแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดไปทำการตัดหางภาายในหนึ่งสัปดาห์หากจะตัดหางเอง
ต้องทำในระยะไม่เกิน 7 วันลังคลอด โดยการบูรป่าลิบขนบริเวณหางที่ต้องการตัดออกให้ถึงผิวหนัง
แล้วทำความสะอาดด้วยการใช้แอลกอฮอล์ หรือทิงเจอร์ไอโอดีน ทาให้ทั่ว ต่อจากนั้นก็รูดผิวหนังขึ้นมาทางโคนหาง
แล้วใช้เชือกหรือยางรัดไว้ให้แน่นตรงข้อที่ 2 ของกระดูกโคนหาง ใช้กรรไกรที่ฆ่าเชื้อแล้วตัดตรงระหว่างข้อ
ของกระดูกที่จะตัด แล้วแต้มด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน ทิ้งไว้ 4-5 ชั่วโมง จึงค่อยเอาเชือกหรือยางรัดออก
ปล่อยให้แผลหาย โดยมากผิวหนังของหางที่รูดขึ้นไปก็จะรูดลงมาเอง หรืออาจจะเย็บปิดก็ได้ถ้าต้องการ
การตัดหู
แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดบางพันธุ์นิยมตัดหู เช่น บ็อกเซอร์, โดเบอร์แมน, มินิเจอร์ พินเซอร์ และเกรท เดน ซึ่งก็ควรทำการตัดหู
เมื่อลูกแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดอายุระหว่าง 12-14 สัปดาห์ เพราะขนาดโตพอที่จะทำการผาตัดได้ง่าย ทนต่อการวางยาสลบ
หลังจากตัดแล้วหมอจะต้องดามหูไว้จนกว่าหูจะตั้งตรงตามต้องการ ซึ่งกินเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ระหว่างนี้เจ้าของจะต้องคอยดูและอยู่ให้แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดเกาแผลจนไไหมที่เย็บหลุด หรือแผลสกปรก เพราะจะทำให้รูปทรงของหูไม่เป็นไปตามต้องการ
การอาบน้ำ
แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดก็เหมือนคนที่จะต้องดูแลรักษาความสะอาดและตกแต่งให้ดูสวย น่ารักอยู่เสมอ เนื่องมาจากมันไม่สามารถจะทำความสะอาดและเสริมสวยให้ กับตนเองได้ ผู้เลี้ยงจึงจะต้องทำหน้าที่ สนใจในตัวของมันเสมือนหนึ่งเป็นตัวของมันเองเลยทีเดียว
การอาบน้ำต้องใช้แชมพู และสบู่ควบคู่ไปด้วย ควรเลือกซื้อแชมพูหรือไม่ก็สบู่ที่ผลิตขึ้น
สำหรับใช้กับแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดเท่านั้น อย่านำแชมพูหรือสบู่ของคนมาใช้กับแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดโดยเด็ดขาด เพราะผิวหนังของแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดบางชนิดบอบบางมาก หากอาบน้ำด้วยแชมพูหรือสบู่ของคน จะทำให้มีปัญหาเรื่องขนแห้ง หยาบ และมีสะเก็ดรังแคขึ้นบนผิวหนัง บางตัวเป็นหนักถึงอาจจะขนร่วงไปเลยก็มี
ปัจจุบันแชมพูแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดมีให้เลือกหลายสูตร มีทั้งแบบผสมครีมในตัว ประเภททูอินวัน หรือทรีอินวัน ชนิดที่มีสารฆ่าเห็บ ฆ่าหมัด เยอะแยะมากมายไปหมด ก่อนซื้อควรอ่านดูฉลากข้างขวดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณ
สมบัติอะไรบ้าง บรรจุเท่าใด หมดอายุวันไหน แล้วจึงเลือกซื้อมาใช้ให้ถูกกับลูกแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดของเรา
:: วิธีอาบน้ำให้แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาด ::
อุปกรณ์ต้องเตรียม คือ แชมพูสำหรับแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาด ผ้าเช็ดตัว อ่างน้ำ หรือสายยาง ที่ต่อจากก๊อกน้ำ เครื่องเป่าผม
ขั้นตอนการอาบน้ำให้แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดทำได้ดังนี้ คือ
wash1
จับแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดให้อยู่ในอ่างนิ่งๆ โดยการจับที่ปลอกคอ เป็นไปได้ควรอุดหู
ทั้งสองข้าง ของแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดด้วยสำลีเพื่อป้องกันมิให้น้ำเข้าหู แล้วจึงค่อยเทน้ำลง
บนตัวแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดให้ทั่วทั้งตัว
ใช้แชมพูแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดเทลงบนตัวแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาด แล้วจึงใช้มือถูนวดแชมพูให้ทั่วใน
ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยังจับปลอกคอแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดอยู่เพื่อจะให้มันอยู่นิ่งๆ
ล้างแชมพูที่ส่วนหัวของลูกแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดก่อน จากนั้นจึงล้างแชมพูที่ลำตัวให้
สะอาด แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้งทั้งตัว
เอาสำลีที่อุดหูออก แล้วเป่าขนให้แห้ง พร้อมกับแปรงขนให้ได้รูป
ทรงตามที่ต้องการ
การแปรงและหวีขน
แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดทุกพันธุ์ต้องการแปรงขนเหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดตัวนั้นจะ ต้องมีขนยาวเพียงเท่านั้น การแปรงหวีขน ของแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดบ่อยๆ นอกจากจะ ทำ ให้ขนสวย ขนไม่พันกันแล้ว ยังจะเป็นการทำความสะอาดตัวของแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดได้
เพราะเวลาเราแปรงขน สิ่งสกปรกจะถูกกำจัดออกมารวมทั้งบรรดาขนเก่า ที่หลุดออกมา นอกจากนั้นผิวหนังที่ได้รับการ กระตุ้นจากการ หวีหรือแปรงก็จะขับน้ำมันมาเคลือบขนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดทำให้ขนนุ่ม และเป็นเงางาม โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินไปซื้ออาหารเสริมมาให้มันกินให้สิ้นเปลืองเปล่า ๆ
ควรฝึกหวี และแปรงขนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดแต่เล็ก ๆ เพื่อจะได้เคยชินและยอมให้เรา เสริมสวยแต่โดยดี
แปรงด้วยแปรงขนอ่อน ลูบไล้ด้วยฟองน้ำ แปรงด้วยหวีซี่ห่าง
ตัดขนด้วยกรรมไกร ขจัดเห็บหมัด แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดไม่ชอบหากคุณแปรงขนย้อนทาง
เทคนิคการหวีและแปรงขนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาด
การแปรงขนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดทุกวันจะทำให้แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดมีสุขภาพดี ขนเป็นเงางาม ไม่มีสิ่งสกปรกหมักหมมอยู่ ในขนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาด พันธุ์ขนยาว เช่น อาฟกัน ฮาวด์ ชิสุ ควรหวี ทุกวัน ส่วนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดพันธุ์ขนสั้น เช่น บลูด็อก เกรดเดน แปรงขนเพียง
2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ก็พอ ส่วนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดพันธุ์พุดเดิ้ลต้องใช้การตัดแต่งขน จะหวีให้ตรงแบบแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดพันธุ์อื่นไม่ได้
:: การหวีขนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดพันธุ์ขนสั้น
อุปกรณ์ที่ใช้มีแปรงบิสเทิล แปรงหวีสลิดเกอร์ หวีตรง ขั้นตอนการหวี มีดังนี้
– ใช้หวีแปรงสลิดเกอร์หวีก่อน เพื่อจำกัดเอาขนที่พันออกไม่ให้เกิดก้อน สังกะตัง ออกแรงหวีเพียง เบาๆนุ่มๆ หวียาวๆ จากคอถึงลำตัวทำเช่นนี้ทั่วตัว
– ใช้หวีบิสเทิลแปรง เพื่อเอาขนที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากขนของแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดทั้งตัว
– ใช้หวีตรง หวีบริเวณที่ยาว เช่น ส่วนของหาง เท้า ขา ถ้าพบว่าขนพันกันให้ใช้กรรไกรตัดออก แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดจะได้ไม่เจ็บ
:: การหวีขนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดที่สั้นเกรียน
อุปกรณ์ที่ใช้มี แปรงรับเบอร์ หนังชามัวร์ แปรงบิสเทิล
– ใช้แปรงรับเบอร์ เพื่อแปรงย้อนขนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดจะทำให้ขนตาย และสะเก็ด ผิวหนัง สิ่งสกปรกหลุดออกโดยง่าย
– ใช้แปรงบิสเทิล แปรงขนตัวแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดอีกครั้งให้ทั่วทั้งตัว เพื่อเอาขนที่ตายและสะเก็ดออก
– เช็คขนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดด้วยหนังชามัวร์ เพื่อให้ขนเป็นมันเงางาม
:: การหวีขนแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดที่ขนตรงยาว
อุปกรณ์ที่ใช้มีแปรงสลิดเกอร์ แปรงบิสเทิล หวีตรง กรรไกร
– ใช้แปรงสลิดเกอร์หวีขนก่อน เพื่อทำให้ขนที่พันกันอยู่คลายตัวออก
– ใช้แปรงบิสเทิลหวีตามอีกครั้ง เพื่อทำให้ขนมันเงา และหวีง่ายขี้นไปอีก
– ใช้หวีตรง หวีจัดให้ขนของแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดตกลงไปข้างลำตัว ด้านซ้ายและด้านขวาตามแนวขน
– ใช้กรรไกรตัดแต่งบริเวณเท้าและหู เพื่อให้เป็นระเบียบเรียบร้อยดูสวยงาม
การดูแลหู
หูมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดที่มีหูปกติจะต้องมีสีชมพูเรื่อๆ สะอาด ไม่มีกลิ่นผิดปกติ หูควรสะอาดไม่มีขี้หูมากจนเกินไป ไม่มีเห็บ หรือหมัด ไม่เป็นแผล หนอง แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดบางพันธุ์รวมทั้งพวกพุดเดิ้ล มักมีขนขึ้นที่บริเวณช่องหู ขนเหล่านี้จะเป็นตัวเพาะเชื้อโรค และหมักหมมส่งสกปรกทั้งหลายได้เป็นอย่างดี พวกหูยานก็เก็บสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้ง่ายจึงต้องหมั่นเอาใจใส่เช็ดถูสิ่งสกปรกในช่องหูออกให้หมด พวกหูตั้งนี้รักษาง่าย เพราะช่องหูสามารถถ่ายเทกับอากาศภายนอกได้โดยธรรมชาติ ฉะนั้นสิ่งสกปรกต่าง ๆ จึงไม่สามารถหมักหมมจนเกิดโรคได้มากนัก ถ้าหูแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดสกปรกมากก็ควรใช้สำลีหรือผ้านุ่มๆ เช็ดบริเวณใบหูและรูหูส่วนนอก ๆ เป็นประจำทางที่ดีหลังการอาบน้ำ เพราะสามารถตรวจสอบว่ามีน้ำหลงเหลือเข้าไปในรูหูหรือไม่ ถ้ามีจะได้เช็ดออกให้แห้ง เป็นการป้องกันหูอักเสบได้ด้วย แต่อย่าได้พยายามทำความสะอาดลึกเข้าไปในรูหูเป็นอันขาด บริเวณอ่อนไหวดังกล่าวควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์
การดูแลตา
ตาของแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดที่มีสุขภาพดีจะมีแววตาแจ่มใส ไม่ขุ่นมัวหรือมีสีแดง หรือมีขี้ตา รวมทั้งน้ำตาไหลเป็นคราบอยู่เสมอก็แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติเข้าตา ถ้าเป็นโรคตาอักเสบธรรมดาเพราะผงเข้าตา ก็ควรใช้น้ำยาล้างตา 4-5 หยด ใส่เพื่อให้สิ่งสกปรกออกก่อน แล้วใช้ผ้าที่สะอาดเช็ดเบา ๆ รอบ ๆ ขอบตาออกได้ ถ้าเป็นมากกว่านี้ควรจะนำไปพบสัตวแพทย์แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดบางพันธุ์ เช่น พวกพุดเดิ้ล มักมีรอยด่างสีน้ำตาลที่ขนใต้ตาเสมอ ที่เป็นเช่นนี้เพราะขนบริเวณนั้นเปียกแฉะเนื่องจากหยาดน้ำตาของแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาด คราบน้ำตานี้จะติดแน่นที่หัวตาย้อยลงมา การกำจัดรอยด่างนี้ทำได้โดยการหมั่นเช็ดถูให้บ่อยๆครั้งทุกวัน เพื่อให้ขนที่ติดคราบน้ำตานี้ค่อย ๆหลุดร่วงหมดไปแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดบางตัวตาแฉะ อาจจะเป็นเพราะขนตาขึ้นผิดปกติ แยงเข้าไปในลูกตา การรักษาอาการนี้ควรเป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์
การดูแลฟัน
โดยปกติแล้วแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดฟันผุได้ยากมาก แต่ที่เห็นบ่อยคือ เหงือกอักเสบ เกิดจากฟันแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดไม่สะอาด ขี้ฟันหมักหมมจนจับเป็นคราบสีเหลืองเกาะติดที่ผิวฟัน คือ หินปูนนั่นเอง บางทีหินปูนมีมากและลุกลามไปจนถึงเงือก ทำให้เหงือกอักเสบ มีกลิ่นปาก จนกระทั่งฟันหลุดไปในที่สุดวิธีป้องกันการจับตัวของหินปูน ควรให้แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดกินอาหารสำเร็จรูปที่เป็นเม็ดแห้ง หรือให้แทะกระดูกเสียบ้างเพื่อขัดฟัน แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ควรให้สัตวแพทย์ตรวจฟันทุกปี แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดบางพันธุ์ก็มีการจัดเรียงตัวของฟันที่แย่มาก มีเหงือกเป็นหนองและฟันหลุดเสมอการให้แทะกระดูกไม่อาจช่วยได้เลย พวกนี้ต้องตรวจฟัน และทำความสะอาดเสมอโดยสัตวแพทย์
การดูแลเล็บ
เล็บแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดจะงอกจิกลงดิน มันจะสึกไปเองโดยธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดที่เลี้ยงบนพื้นไม้หรือพื้นซีเมนต์ มักจะพบปัญหาเล็บไม่สึก มีเล็บยาวเร็วกว่าปกติทำให้เดินไม่สะดวก และเมื่อทิ้งไว้นาน ๆ จะทำให้นิ้วคด หรือแยกห่างออกจากกัน บางทีก็ถอนหรือฉีกแตกจนเกิดหนองได้ จะทำให้แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดเจ็บปวดมากเวลาเดิน ฉะนั้นจึงต้องหมั่นตรวจดูแลตัดเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอการตัดเล็บแชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดควรใช้กรรไกรสำหรับการตัดโดยเฉพาะ จะทำได้โดยง่ายและปลอดภัย ได้รอยตัดที่กลมโค้ง การตัดควรตัดที่ปลายเพียงเล็กน้อย ระวังอย่าตัดให้ถูกปลายประสาทสีชมพูในเล๋บได้แชมพูสุนัขสมุนไพรสะอาดที่มีเล็บดำไม่สามารถมองเห็นปลายประสาทนี้ได้ ฉะนั้นตัดเล็บจึงทำได้แค่คลิบปลายเพียงเล็กน้อย หรือตัดตรงตำแหน่งต่ำจากบริเวณที่มีเลือดมาเลี้ยงสัก 3มิลลิเมตร การตัดเล็บควรทำทุกเดือน โดยหลังการอาบน้ำ เพราะเล็บที่เปียกน้ำจะอ่อนตัดง่ายกว่าธรรมดา
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ หรือชื่อเกิดว่า มาร์ค อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ (ละติน: Mark Abhisit Vejjajiva,[2] เกิด 3 สิงหาคม พ.ศ. 2507) เป็นนักการเมืองไทยผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ดำรงตำแหน่งระหว่าง พ.ศ. 2551 – 2554 และเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 เนื่องจากเป็นหัวหน้าพรรคใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในสภาผู้แทนราษฎร จึงเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรด้วย
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเกิดที่ประเทศอังกฤษ เข้าวิทยาลัยอีตัน และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2535 ขณะอายุได้ 27 ปี และได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์หลังพรรคแพ้การเลือกตั้งเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548[3] อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ในวัย 44 ปี[4] หลังศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นผลให้นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นจากตำแหน่ง เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในรอบกว่า 60 ปี[5]
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเป็นนายกรัฐมนตรีในห้วงวิกฤตการณ์การเงินโลก และความตึงเครียดทางการเมืองในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะดำรงตำแหน่ง เขาเสนอ “วาระประชาชน” ซึ่งมุ่งสนใจนโยบายซึ่งมีผลต่อสภาพความเป็นอยู่ของพลเมืองชนบทและผู้ใช้แรงงานของไทยเป็นหลัก[6] เขาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสองประการสำคัญ คือ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสามปีมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการให้เงินอุดหนุนและแจกเงินมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[7] ยุคอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกามีการปิดเว็บไซต์และสถานีวิทยุเป็นจำนวนมาก ตลอดจนจับกุมและปิดปากบุคลากรสื่อ ผู้ต่อต้านและหัวหน้าแรงงานจำนวนมาก โดยอ้างความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย[8][9] จากรายงาน พ.ศ. 2553 ฮิวแมนไรตส์วอทส์เรียกยุคอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาว่า “มีเซ็นเซอร์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยล่าสุด” และฟรีดอมเฮาส์ ลดระดับอันดับเสรีภาพสื่อของไทยลงเหลือ “ไม่เสรี”[10] [11] อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกายังสนับสนุนมาตรการต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่รัฐมนตรีหลายคนกลับมีเรื่องอื้อฉาวทางการเมือง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายส่วนถูกวิจารณ์ว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง
รัฐบาลอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเผชิญการประท้วงใหญ่ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 และเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ. 2553 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาดำเนินโครงการปรองดองเพื่อสืบสวนเหตุสลายการชุมนุม แต่การทำงานของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกลับถูกทหารและหน่วยงานของรัฐขัดขวาง[12] กองทัพไทยปะทะกับกัมพูชาหลายครั้งระหว่าง พ.ศ. 2552-2553 ซึ่งเป็นการสู้รบนองเลือดที่สุดในรอบกว่าสองทศวรรษ[13] เหตุความไม่สงบในชายแดนภาคใต้บานปลายขึ้นระหว่างรัฐบาลอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา และรายงานการทรมานและการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้น
หลังแพ้การเลือกตั้งเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 เขาได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 แต่ได้รับเลือกใหม่ในเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ลาออกทั้งหมด ในเดือนเดียวกัน เขาถูกตั้งข้อกล่าวหาฆ่าคนจากการสลายการชุมนุมเมื่อ พ.ศ. 2553 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 90 คน[14]
เนื้อหา [ซ่อน]
1 ประวัติ
1.1 ตระกูลเวชชาชีวะ
1.2 ข้อกล่าวหาการถือสองสัญชาติ
1.3 ข้อกล่าวหาการหนีราชการทหาร
2 เข้าสู่แวดวงการเมือง
3 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
3.1 บทบาทในช่วงวิกฤตการทางการเมือง พ.ศ. 2549
3.2 ข้อกล่าวหาทุจริตการเลือกตั้ง พ.ศ. 2549
3.3 นโยบายทางการเมืองที่ตรงกันข้าม
3.4 สนับสนุนรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2550
3.5 เลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550
3.6 การดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
3.7 ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
3.8 หลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
4 การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
5 ความสนใจ
5.1 กีฬา
5.2 ดนตรี
6 ผลงานหนังสือ
7 เกียรติยศ
7.1 เครื่องราชอิสริยาภรณ์
7.2 การจัดอันดับระดับนานาชาติ
8 บรรพบุรุษ
9 อ้างอิง
10 หนังสืออ่านเพิ่มเติม
10.1 หนังสือเกี่ยวกับอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา
11 แหล่งข้อมูลอื่น
ประวัติ
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ มีชื่อเล่นว่า “มาร์ค” เกิดวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2507 ที่เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ เขามีเชื้อสายจีนฮั่น[15][16] จากฮกเกี้ยน[17] บิดาชื่อ ศาสตราจารย์ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ มารดาชื่อ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสดใส เวชชาชีวะ
เมื่อยังมีอายุไม่ถึงหนึ่งปี ครอบครัวเวชชาชีวะได้เดินทางกลับประเทศไทย อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้เข้าเรียนระดับอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลยุคลธร ระดับประถมที่โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นได้ย้ายกลับประเทศอังกฤษเพื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนสเกทคลิฟ และเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมอีตัน ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำเอกชน ระดับเตรียมอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของลอนดอน ได้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (philosophy, politics and economics, PPE) ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี โดยได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นับเป็นคนไทยคนที่ 2 ที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาวิชานี้ ต่อจากพระยาศรีวิสารวาจา (หุ่น ฮุนตระกูล)[18]
หลังสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก ระหว่างปี พ.ศ. 2530–2531 ได้รับการแต่งตั้งยศร้อยตรี[19] ก่อนจะลาออกจากราชการกลับไปศึกษาต่อระดับปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดอีกครั้ง ปริญญานิพนธ์ของอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้รับการยอมรับในระดับดีมาก โดยเทียบได้กับเกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว ได้กลับมาเป็นอาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[19] หลังจากนั้นยังได้ศึกษาเพิ่มเติมจนสำเร็จปริญญาตรีนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงอีกด้วย[19]
ต้นปี พ.ศ. 2549 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้รับปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง[20] จากการใช้ความรู้ความสามารถด้านกฎหมายปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร[21] และต้นปี พ.ศ. 2554 ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีกิตติมศักดิ์ สาขาภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง[22]
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ ได้รับพระราชทานยศนายกองใหญ่เป็นกรณีพิเศษโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชโปรดเกล้าแต่งตั้ง[23]
ในปี พ.ศ. 2552 ระหว่างเกิดความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่กลุ่มผู้ชุมนุมพยายามสังหาร ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552 เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่ยอมรับว่าเป็นความพยายามฆ่านายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี มีผู้ต้องหา 20 ราย[24]
ในปี พ.ศ. 2555 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ เป็นกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า
วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557 เกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดใส่บ้านพักอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา บ้านเลขที่ 32 ซอยสุขุมวิท 31[25]
ตระกูลเวชชาชีวะ
ตระกูล “เวชชาชีวะ” มีบรรพบุรุษเป็นชาวจีน โดยมีถิ่นกำเนิดมาจากฮากกา ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับชนชั้นสูงมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18[26][27] มีแซ่ในภาษาจีนว่า หยวน (จีน: 袁; พินอิน: Yuán) [28][29] ในสมัยรัชกาลที่ 6 สกุล “เวชชาชีวะ” (Vejjajiva) เป็นนามสกุลพระราชทานให้กับพระบำราศนราดูร (หลง เวชชาชีวะ) แพทย์ประจำจังหวัดลพบุรี กับจิ๊นแสง (บิดา) เป๋ง (ปู่) และก่อ (ปู่ทวด) เนื่องจากเป็นต้นตระกูลเป็นแพทย์จึงมีคำว่า “เวช” อยู่ในนามสกุลด้วย[30]
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเป็นบุตรชายคนเดียว ในจำนวนบุตร 3 คน ของศาสตราจารย์ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กับ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง สดใส เวชชาชีวะ มีพี่สาว คือ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอลิสา วัชรสินธุ ศาสตราจารย์หน่วยจิตเวชเด็ก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็ก และงามพรรณ เวชชาชีวะ นักประพันธ์รางวัลซีไรท์ประจำปี พ.ศ. 2549 และผู้แปลวรรณกรรมเยาวชน
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดยที่สุรนันทน์เป็นบุตรของนิสสัย เวชชาชีวะ อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นพี่ชายของบิดาอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา[31]
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเป็นหลาน รองศาสตราจารย์ ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ประธานกรรมการ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด อดีตรองอธิการบดีฝ่ายทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตอาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นลูกพี่ลูกน้องพงศ์เวช เวชชาชีวะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดจันทบุรีกับศุภกรณ์ เวชชาชีวะ กรรมการ บริษัท โพสต์ พับลิชชิง จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับวรกร จาติกวณิช ภริยาของกรณ์ จาติกวณิช หากนับจากญาติฝ่ายมารดา[32]
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ สมรสกับผู้ช่วยศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ (สกุลเดิม ศกุนตาภัย) อดีตทันตแพทย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คนคือ ปราง เวชชาชีวะ และปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ[33] ปัณณสิทธิ์นั้นเป็นโรคออทิซึมมาแต่กำเนิด ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางจึงสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และให้อยู่ในความพิทักษ์ของอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาผู้เป็นบิดาตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2555[34]
ข้อกล่าวหาการถือสองสัญชาติ
การถือสัญชาติไทยโดยที่ไม่ได้สละสัญชาติอังกฤษ กลายเป็นประเด็นการอภิปรายในรัฐสภาเมื่อต้น พ.ศ. 2554 นำโดย จตุพร พรหมพันธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยและแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เจ้าของสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม และที่ปรึกษากฎหมายของกลุ่ม นปช. ได้เดินทางไปยังอังกฤษ เพื่อคัดสำเนาสูติบัตรของอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา นำมาแสดงว่าอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกายังถือสัญชาติอังกฤษ และได้เรียกร้องเพิ่มเติมว่า หากอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกายืนยันว่าสละสัญชาติอังกฤษมาถือสัญชาติไทยแล้ว ก็ต้องเอาใบสละสัญชาติมาแสดง มิฉะนั้นจะนำเรื่องไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ [35]
กฎหมายอังกฤษระบุว่า เด็กที่เกิดในประเทศอังกฤษก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) จะได้รับสัญชาติอังกฤษ เว้นแต่จะเกิดแต่คณะเจ้าหน้าที่และตัวแทนทางทูต ผู้ซึ่งมีความคุ้มกันทางทูต และหากเกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) โดยมีบิดาหรือมารดาคนหนึ่งคนใดเป็นคนอังกฤษ หรือตั้งรกรากอยู่ในประเทศอังกฤษ จะได้รับสัญชาติอังกฤษ [36] ขณะที่กฎหมายไทยระบุว่า ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด (พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 (1)) [37]
บิดาและมารดาของอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกามิได้เป็นคนอังกฤษ และมิได้ตั้งรกรากในประเทศอังกฤษ (บิดาและมารดาเพียงแค่ไปศึกษาต่อเท่านั้น) อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเคยกล่าวว่า ตนใช้สัญชาติไทยมาตลอด ยังต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศอังกฤษ [38] และยังคงต้องรับการตรวจเลือกเกณฑ์ทหารด้วย อย่างไรก็ตาม การถือสัญชาติไทยโดยที่ไม่ได้สละสัญชาติอังกฤษ ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อตำแหน่งทางการเมือง
ข้อกล่าวหาการหนีราชการทหาร
ช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 วีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. เปิดเผยว่าอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาไม่เข้ารับการตรวจเลือกการเกณฑ์ทหาร[39][40] พร้อมทั้งแจกจ่ายจดหมายเปิดผนึกให้กับพรรคประชาธิปัตย์และสื่อมวลชน[41] เรื่องดังกล่าวมีการเปิดเผยต่อสาธารณะมาก่อนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 (สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 1) โดยอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้เคยแถลงว่า ตนเคยรับราชการทหาร เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ได้รับพระราชทานยศร้อยตรี โดยการเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (รร.จปร.)[39] คำแถลงของอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา ได้รับการยืนยันจากกองทัพในขณะนั้นว่าเป็นความจริง แต่เนื่องจากการเข้ารับราชการ ต้องแสดงเอกสารเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหาร[42] จึงเกิดข้อกังขาว่า หากอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาไม่ผ่านการเกณฑ์ทหาร เหตุใดจึงสามารถสมัครเข้าเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าได้ ซึ่งอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเคยแถลงเพียงว่า เป็นอำนาจวินิจฉัย และความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานในขณะนั้น พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อปี พ.ศ. 2542 มีความเห็นว่า ในครั้งนั้น อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาสมัครเข้ารับราชการสังกัดกระทรวงกลาโหมโดยขาดส่งหลักฐานทางทหาร ซึ่งมีฐานความผิดเพียงโทษปรับ แต่ยอมรับว่าอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเข้ารับราชการทหารแล้ว[43]
ช่วงเวลาเดียวกันมีความเห็นจากแหล่งข่าวในกองทัพ ว่ากองทัพบกมีเอกสารต้นขั้ว สด.๙ ที่ออกให้อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ เพื่อบรรจุเป็นทหารกองเกิน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 จริง และมีเอกสาร สด.๑ ของสัสดีที่ยืนยันการรับ สด.๙ ด้วย อย่างไรก็ดี แม้อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาไม่มารับการตรวจเลือกและไม่ได้รับ สด.๔๓ แต่เมื่อไปรับราชการ เป็นข้าราชการพลเรือนสังกัดกระทรวงกลาโหมในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2530 ก็ถือว่ามีฐานะเป็นทหารแล้ว เพียงแต่ไม่ไปแจ้งให้พ้นบัญชีคนขาดเท่านั้น[44]
การโจมตีเรื่องอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาไม่ได้เข้ารับการตรวจเลือกการเกณฑ์ทหาร เกิดขึ้นอีกครั้งประมาณปลายปี พ.ศ. 2551 หลังพรรคพลังประชาชนถูกศาลวินิจฉัยให้ยุบพรรค และอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสจะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยประเด็นเกี่ยวกับการรับราชการทหารของอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้เป็นหัวข้อหนึ่งที่ฝ่ายค้านใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เมื่ออาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่ถึง 3 เดือน
ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้ตอบกระทู้อภิปรายไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการรับราชการทหารว่า มีความเข้าใจผิดว่าตนสมัครเข้ารับราชการทหาร หลังจากไม่เข้ารับการตรวจเลือกการเกณฑ์ทหาร แต่ในความเป็นจริง ได้สมัครเข้ารับราชการทหารตั้งแต่ก่อนถึงกำหนดเกณฑ์ทหารแล้ว การสมัครเข้ารับราชการทหารในขณะนั้นจึงไม่ต้องใช้ สด.๔๓ แต่ใช้ สด.๙ และหนังสือผ่อนผันฯ แทน ซึ่งอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกายืนยันว่าขณะที่สมัครเข้า รร.จปร. ตนมีเอกสาร สด.๙ ที่ได้รับประมาณกลางปี พ.ศ. 2529 หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและกลับมาถึงประเทศไทย และมีรายชื่อได้รับการผ่อนผันฯ เพื่อเรียนต่อปริญญาโท ช่วงปี พ.ศ. 2530 ถึง พ.ศ. 2532 ตามบัญชีของ ก.พ. ที่จัดทำตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2529 การสมัครเข้า รร.จปร. ของตนจึงเป็นการสมัครโดยมีคุณสมบัติครบถ้วน หลังจากสมัครเข้า รร.จปร. ได้ผ่านการฝึกทหารคล้ายการฝึกนักศึกษาวิชาทหาร จนครบตามหลักสูตรจึงได้รับพระราชทานยศร้อยตรี ในการขอติดยศร้อยตรีนั้นตนได้ทำเอกสาร สด.๙ หายจึงได้ไปขอออกใบแทน แต่ในการสมัครเข้า รร.จปร. ได้ใช้ สด.๙ ตัวจริงสมัคร แล้วเอกสารมีการสูญหายในภายหลัง ในการอภิปรายครั้งนี้อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้แสดง สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการยกเว้นผ่อนผันฯ และ สำเนา สด.๙ ฉบับแรกของตน ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรด้วย[45]
ต่อมา สุกำพล สุวรรณทัต มีคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1163/2555 เรื่องให้ปลดนายทหารสัญญาบัตรออกจากราชการ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำสั่งศาลให้ยกเลิกคำสั่งดัวกล่าว [46] เท่ากับเขาได้รับยศ ร้อยตรี ตามเดิม
เข้าสู่แวดวงการเมือง
ขณะออกหาเสียงร่วมกับอภิรักษ์ โกษะโยธิน และแทนคุณ จิตต์อิสระ
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เริ่มเข้าสู่แวดวงการเมืองด้วยการเป็นอาสาสมัครช่วยหาเสียงให้กับพิชัย รัตตกุล ในเขตคลองเตย ช่วงปิดภาคเรียนที่กลับมาเมืองไทย ต่อมาได้เข้าช่วยงานด้านวิชาการในเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจให้กับชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น ก่อนจะลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็น ส.ส. กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2535 ขณะมีอายุได้เพียง 27 ปี ซึ่งนับว่าเป็น ส.ส. ที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น[21] และเป็น ส.ส.เพียงคนเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ภาคกลาง ท่ามกลางกระแส “มหาจำลองฟีเวอร์” กับการเป็นนักการเมือง “หน้าใหม่” ที่เพิ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรก
ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่วมปราศรัยและคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอก สุจินดา คราประยูร[21] ที่ สนามหลวง และลานพระบรมรูปทรงม้า ในฐานะนักวิชาการ และตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในครั้งนั้นประกาศไม่เข้าร่วมรัฐบาลสุจินดา คราประยูร
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ มีผลงานทางการเมืองที่สำคัญ คือการจัดทำพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542[47] ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับแรกของไทย ที่ดำเนินการจัดทำจนสำเร็จในช่วงเวลาที่อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี[48] ที่กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เพื่อมอบสิทธิแก่เยาวชนไทยในการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้ทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 43 โดยอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกามีบทบาทดูแลทั้งด้านนโยบาย หลักการและรายละเอียด รวมทั้งผลักดันให้ผ่านคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษา ของสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนได้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษา และได้ดูแลจนกระทั่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองและประเมินคุณภาพการศึกษาประกาศใช้
ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ สิปปนนท์ เกตุทัต อดีตกรรมการการศึกษาแห่งชาติผู้ทรงคุณวุฒิ และประธานกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เคยให้ความเห็นไว้ว่า อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของ พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และการปฏิรูปการศึกษาของไทยอย่างทะลุปรุโปร่ง[21]
นอกจากนี้ อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกายังมีผลงานผลักดันกฎหมายและแนวคิดต่าง ๆ จำนวนมาก[49] เช่น กฎหมายข้อมูลข่าวสาร กฎหมายกระจายอำนาจแก่ท้องถิ่น กฎหมายคุ้มครองเสรีภาพสื่อมวลชน การผลักดันให้มี วิทยุชุมชนในท้องถิ่น การผลักดัน ให้มีองค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบ เช่น ปปช., ศาลปกครอง และ กกต. การเสนอมาตรการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูลการทุจริตของ หน่วยงานรัฐ หรือนักการเมือง การเสนอกฎหมายให้การฮั้วประมูลเป็นความผิดทางอาญา การเสนอกฎหมายองค์การมหาชน เพื่อให้การให้บริการของรัฐ มีความสะดวกคล่องตัว และการผลักดันแนวคิดเรื่องการสรรหาผู้บริหารระดับสูงในองค์กรภาครัฐ ด้วยระบบสัญญาจ้าง เพื่อให้สามารถสรรหาผู้บริหารระดับสูงที่มีคุณภาพ ทำงานอย่างอิสระ โดยได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม[ต้องการอ้างอิง]
ในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวบีบีซี ที่ว่าอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาไม่เคยชนะการเลือกตั้ง ว่าผมได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรถึง 7 ครั้ง และมากครั้งกว่าพันตำรวจโททักษิณเสียอีก ผมไม่เคยปฏิเสธการเลือกตั้ง[50]
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อจากบัญญัติ บรรทัดฐาน ตั้งแต่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2548[51] และอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้ลาออกจาตำแหน่งภายหลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 แต่ก็ได้รับเลือกกลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง ในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน เขาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นเวลานาน มากกว่า 10 ปี ติดอันดับ 5 จาก อันดับ 7 ของผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคนานที่สุด
บทบาทในช่วงวิกฤตการทางการเมือง พ.ศ. 2549
วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ:
ฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน
ปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2549 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอแนะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะ และให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กราบบังคมทูลขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน โดยอาศัยความตามมาตรา 7 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เพื่อรักษาการชั่วคราวในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมือง สืบเนื่องจากนักวิชาการ นักการเมือง และประชาชน ที่มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมกันลงนามทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2549 โดยอ้างอิงความตามมาตรา 7 ซึ่งอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาไม่ใช่ผู้ร่วมลงนามในฎีกาดังกล่าวตามหลักฐานรายชื่อในฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน
ข้อเสนอของอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกามีความแตกต่างจากเนื้อหาในฎีกา เนื่องจากเสนอให้รักษาการนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะ ก่อนที่จะขอ นายกรัฐมนตรีพระราชทาน ทำให้เกิดเงื่อนไขสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญ ในขณะที่เนื้อหาในฎีกา เป็นการขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ทั้งที่ยังมีรักษาการนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่ง จึงเป็นการขอที่ไม่สามารถทำได้ตามกฎหมาย[52] ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ได้มีแถลงการณ์ว่า ข้อเสนอของอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา ได้รับการยอมรับจาก สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ว่าสามารถปฏิบัติได้จริงตามรัฐธรรมนูญทุกประการ
วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีกระแสพระราชดำรัสต่อคณะผู้พิพากษาใจความตอนหนึ่งว่า “…เขาอยากจะได้นายกฯ พระราชทาน เป็นต้น จะขอนายกฯ พระราชทาน ไม่ใช่เป็นเรื่องการปกครองแบบประชาธิปไตย…”[53][54] และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ กลุ่มการเมืองฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ตั้งฉายาให้กับอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาที่มีชื่อเล่นว่า “มาร์ค” ว่า “มาร์ค ม.7”
ภายใต้การบริหารพรรคของนายอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อาวุโสกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นผู้สมคบคิดแผนฟินแลนด์ เพื่อล้มล้างราชวงศ์จักรี และก่อตั้งสาธารณรัฐ อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้เคยตัดสินใจคว่ำบาตรการเลือกตั้ง พ.ศ. 2549 โดยไม่ส่งสมาชิกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากเห็นว่าการเลือกตั้งเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ขาดความชอบธรรม[55] อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ซึ่งโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวต่อต้านแบบกลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในปี พ.ศ. 2550 พรรคประชาธิปัตย์ได้ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนจากพรรคอื่น ๆ ให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินว่าอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาและพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิด และตัดสินให้ยุบพรรคไทยรักไทยในข้อหาเดียวกัน อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 โดยกล่าวว่าเป็นการปรับปรุงจากรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540[56] พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2550 ให้แก่พรรคพลังประชาชน
ในการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศ จับมือทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และ พรรคมหาชน ปฏิเสธการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยให้เหตุผลว่าเป็นการจัดเลือกตั้งที่ไม่ถูกต้อง ตามหลักการที่ควร[57][58] เป็นผลให้ พรรคไทยรักไทยต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงพรรคเดียวในหลายเขตเลือกตั้ง ในที่สุดนำมาซึ่งการฟ้องร้องดำเนินคดีข้อหาทุจริตในการเลือกตั้ง[59][60] และต่อมามีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อ “คดียุบพรรค” และศาลก็ได้มีมติให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 3 คนต้องโทษจำคุก ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วย[61][62]
ข้อกล่าวหาทุจริตการเลือกตั้ง พ.ศ. 2549
พรรคไทยรักไทยกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่าให้สินบนกับพรรคเล็กเพื่อคว่ำบาตรการเลือกตั้งเดือนเมษายน พ.ศ. 2549 พรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าไม่มีความผิด เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2549
วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2549 สมาชิกคณะกรรมการเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลเพื่อสรรหาข้อเท็จจริง ที่นำโดยรองอัยการสูงสุด ชัยเกษม นิติสิริ มีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ (เช่นเดียวกับพรรคไทยรักไทยและอีก 3 พรรคการเมือง) ขึ้นอยู่กับหลักฐานให้สินบนกับพรรคเล็กต่าง ๆ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาประชุมกับสายสัมพันธ์ทางการเมืองจาก 20 ประเทศเพื่อที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง[63][64]
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ในกรณีก่อนที่กองทัพแต่งตั้งศาลรัฐธรรมนูญ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าสาบานตนว่าพวกเขาถูกหลอกให้สมัครเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งเดือนเมษายน[65]
พยาน 3 ปากยืนยันว่าเลขาพรรคประชาธิปัตย์ถาวร เสนเนียม, วิรัตน์ กัลยาศิริ และเจือ ราชสีห์ สนับสนุนให้ผู้ประท้วงขัดขวางการลงสมัครรับเลือกตั้งในระหว่างการเลือกตั้งซ่อม[66] หลังจากการเลือกตั้งเดือนเมษายน 2549 อัยการยืนยันว่าพรรคพยายามตัดสิทธิ์ผลการเลือกตั้งและบังคับให้จัดการเลือกตั้งซ่อมต่อไป ข้อกล่าวหาของฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ถูกต้องซึ่งพยายานกลุ่มเดียวกันนี้ถูกว่าจ้างโดยกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พรรคประชาธิปัตย์พ้นความผิด ขณะที่พรรคไทยรักไทยมีความผิด[67][68]
นโยบายทางการเมืองที่ตรงกันข้าม
วันที่ 29 เมษายน อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาประกาศเป็นผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมประจำปีของพรรคประชาธิปัตย์ เขาสัญญาว่าจะทำให้เป็นแผนงานเพื่อประชาชน ซึ่งเน้นการศึกษาเป็นหลัก โดยที่เขาใช้สโลแกนหาเสียงว่า “ประชาชนต้องมาก่อน” เขายังได้สัญญาว่าจะไม่นำสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า ประปา เอามาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวเหมือนกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยทำมาแล้ว[69] อภิสิทธิให้สัญญาว่า “ประโยชน์ที่ได้จากนโยบายประชานิยม เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้าน, และโครงการ SML จะไม่ถูกยกเลิก แต่จะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม” อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาออกมากระตุ้นในภายหลังว่าโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคนั้นควรจะเข้าใช้บริการทางการแพทย์ผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่เสียค่าบริการ[70] อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาแถลงว่าอนาคตของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ทุกคนจะต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน และธุรกิจที่เข้าไปเกี่ยวข้องทั้งหมด (กฎหมายกำหนดเพียงให้สมาชิกคณะรัฐมนตรีทุกคนต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน) [71]
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเการวบรวมเงินจำนวน 200 ล้านบาทในงานเลี้ยงอาหารเย็นเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ภายในที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เขาสรุปนโยบายด้านพลังงาน รวมถึงเพิ่มจำนวนการจ่ายเงินปันผลจากปตท. และการใช้กองทุนชดใช้หนี้ให้แก่กองทุนน้ำมัน และอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระงับราคาเชื้อเพลิงที่กำลังพุ่งสูงขึ้น[72] เขาสรุปแผนทีหลังว่าจะลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินโดยลดภาษี 2.50 บาท/ลิตรออกไปจากที่เคยใช้ปรับปรุงกองทุนน้ำมันของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม แผนของเขาถูกวิจารณ์ว่าเป็นการบิดเบือนตลาดการค้าและขัดขวางไม่ให้ลดการบริโภคน้ำมัน[73]
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาสัญญาว่าจะจัดการปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการทำปัญหานี้ให้อยู่ในระเบียบวาระของสังคมของจังหวัดภาคใต้[63] อีกทั้งสัญญาจะใช้นโยบายประชานิยมหลายอย่างรวมถึงนโยบายเรียนฟรี, ตำราเรียน, นมและอาหารเสริมสำหรับโรงเรียนอนุบาล และการเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ[74]
สนับสนุนรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2550
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญปี 50 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกากล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์พิจาณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เหมือนกับที่เคยพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญปี 40 แต่ปรับปรุงพร้อมกับจุดบกพร่อง “ถ้าเราขอร้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เราจะปฏิเสธร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าเราปฏิเสธร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันจะเป็นสิ่งที่ชี้นำไปยัง (คมช.) เราเสนอจุดยืนตรงนี้ เพราะว่าเราเป็นห่วงเกี่ยวกับส่วนได้ส่วนเสียของชาติ และต้องการประชาธิปไตยกลับคืนมาโดยเร็ว” เขากล่าวอย่างนั้น[75] การรับทราบถึงจุดบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้เสนอพร้อมกับเชิญชวนพรรคการเมืองอื่นๆ ให้ร่วมมือกันแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่เขามีอำนาจ[76]
เลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2550 ผลปรากฏว่าสมัคร สุนทรเวช จากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรค ผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2551 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้รับคะแนนเสียง 163 เสียง ซึ่งน้อยกว่าสมัครที่ได้ 310 เสียง[77]
การดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2548 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรไทย คนที่ 7 หลังแพ้การเลือกตั้งเป็นการทั่วไปในปี พ.ศ. 2548 และมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของนายกรัฐมนตรี และได้พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เพราะคณะปฏิรูปการปกครองฯ ได้ทำการรัฐประหารโค่นล้มรักษาการนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้เข้ารับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 หลังแพ้การเลือกตั้งเป็นการทั่วไปในปี พ.ศ. 2550 ให้กับสมัคร สุนทรเวช และต่อมาในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551 สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็นผลให้สมชาย วงศ์สวัสดิ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อมา จวบจนกระทั่งเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ได้มีการยุบพรรคพลังประชาชน และเป็นเหตุให้สมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จึงทำให้มีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่อีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏว่า อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา ได้คะแนนเสียงในสภามากกว่า จึงได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และหน้าที่ของผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ก็เป็นหน้าที่ของ ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งไปชั่วคราว จนกระทั่งอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้ง อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อมาจนถึงวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 และพ้นจากตำแหน่งไป จากนั้นไม่นาน เขาก็ได้เข้ารับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรไทย สมัยที่ 3 ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554 และได้ดำรงตำแหน่งจนถึงวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ก็พ้นจากตำแหน่งไปเนื่องด้วย นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร จึงทำให้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ณ ตอนนี้ ยังไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งมาจนถึงปัจจุบัน
ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ดูเพิ่มเติมที่: การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้สมัคร สุนทรเวชพ้นสภาพจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. 2551 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาก็ยังพ่ายแพ้ให้กับสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น[78] ในระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) สมาชิกประชาธิปัตย์บางคนกลายเป็นแกนนำของ (พธม.) ซึ่งยึดทำเนียบรัฐบาล, ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะที่มีการปะทะกันระหว่าง พธม. กับตำรวจและกลุ่มต่อต้านอย่างรุนแรง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบ 3 พรรคการเมือง ซึ่งพรรคพลังประชาชนเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ซึ่งทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นอันต้องยุติลง และศาลยังตัดสินให้สมชาย วงศ์สวัสดิ์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ร่วมก่อการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถูกสื่อมวลชนรายงานว่าเขาเป็นผู้ที่สนับสนุนหรือบีบบังคับให้ ส.ส.ฝ่ายตรงข้ามแปรพักตร์มาอยู่ฝ่ายอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา[79] ส.ส.เหล่านั้นมาจากพรรคเพื่อไทย (พรรคสืบทอดจากพรรคพลังประชาชน) สมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา (พรรคสืบทอดจากพรรคชาติไทย) นำโดยพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ และพรรคมัชฌิมาธิปไตย และกลุ่ม”เพื่อนเนวิน” อดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชน ทำให้ให้พรรคประชาธิปัตย์มีเสียงข้างมากในสภา[80] สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ จึงสนับสนุนให้อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[81][82][83] และชนะการโหวตการเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 โดยมีพลตำรวจเอกประชา พรหมนอกเป็นคู่แข่ง[84]
ทางด้านคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภาแบบสรรหาและแนวร่วม พธม. กล่าวถึงการที่อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้เป็นนายกรัฐมนตรีว่า “เป็นชัยชนะของพันธมิตรฯ ที่แท้จริง” และ “รัฐประหารสไตล์อนุพงษ์”[85] โอกาสที่อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาได้ขึ้นเป็นนายกครั้งนี้ได้รับความเห็นชนชั้นกลาง[86]
หลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
วันที่ 24 มกราคม 2558 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกากล่าวถึงกรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ฟ้องให้ขับยิ่งลักษณ์ ชินวัตรออกจากตำแหน่งว่า ทุกอย่างเป็นไปตามหลักฐานข้อเท็จจริง ส่วนที่ยิ่งลักษณ์ไม่ยอมรับผลการตัดสิน และว่าเป็นขบวนการทำลายล้างการเมืองนั้น เป็นปกติที่ฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย จะแสดงความเห็นแนวทางนี้ ขณะเดียวกันปฏิเสธแสดงความเห็นต่อกระแสข่าวพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งให้ สนช. วิ่งเต้นถอดถอนยิ่งลักษณ์ เพราะไม่ทราบข้อเท็จจริง และเห็นว่าการถอดถอนอดีตนายกรัฐมนตรีได้ยังไม่ใช่บรรทัดฐานการเมืองในอนาคต แต่เป็นเพราะการเมืองอยู่ในสถานการณ์พิเศษ “แต่ถ้าวิเคราะห์จากการที่คะแนนถอดถอนท่วมท้น จากที่มีการประเมินในตอนแรก น่าจะเป็นเพราะคุณยิ่งลักษณ์ไม่ไปตอบคำถามและข้อมูลหลักฐานที่ประจักษ์ต่อสังคม”[87]
ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เขาเคยเสนอที่จะเลิกทำงานทางด้านการเมืองเพื่อให้บุคคลในพรรคเพื่อไทยสบายใจ[88]แลกกับการปฏิรูปราชอาณาจักรไทยข้อเสนอดังกล่าวถูกบุคคลในพรรคเพื่อไทยตอบโต้ว่านายอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาถูกกระทรวงกลาโหมปลดออกจากราชการ ทำให้ขาดคุณสมบัติการลงสมัคร ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 102 (6) ถือเป็นลักษณะต้องห้าม ขณะที่ศาลปกครองยังไม่สั่งเพิกถอนคำสั่งปลดออก เท่ากับว่าคำสั่งยังมีผล เหตุนี้ทำให้นายอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาประกาศเว้นวรรคทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งนี้ พร้อมเยาะเย้ยว่าเขาจะได้เลิกทำงานเกี่ยวกับงานทางการเมืองไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน[89]
ในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เขากล่าวว่าเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบถ้าหากพรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติที่ผู้นำขององค์กรต้องรับผิดชอบหากประสบความล้มเหลว และเขาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นานถึง 10 ปี นักสื่อสารมวลขน วิเคราะห์ว่าคำกล่าวดังกล่าวเป็นท่าทีที่แบ่งรับแบ่งสู้ว่าเขาอาจไม่ทำงานทางการเมืองอีก[90]
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ดูบทความหลักที่: การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ และ คณะรัฐมนตรีคณะที่ 59 ของไทย
แม้อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาจะดำเนินมาตรการตอบโต้ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยอย่างเข้มข้น แต่ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากพลอากาศเอก กำธน สินธวานนท์ องคมนตรี ว่า มีท่าทีสนองช้าเกินไป[91]
การทุจริตเกิดขึ้นในรัฐบาลภายใต้การนำของอาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาหลายกรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วิฑูรย์ นามบุตร ลาออก หลังจากจัดหาปลากระป๋องเน่าให้กับผู้ประสบอุทกภัย[92] ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข วิทยา แก้วภราดัย มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตในการจัดซื้ออุปการณ์ทางการแพทย์เกินราคาในโครงการ ไทยเข้มแข็ง จึงได้ประกาศลาออก[93] อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกายังเผชิญกับความตึงเครียดซึ่งเพิ่มมากขึ้นจากประเทศกัมพูชา ในหลายประเด็น รวมทั้งการแต่งตั้งแกนนำ พธม. กษิต ภิรมย์ อันเป็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การปะทะตามแนวชายแดนด้านเขาพระวิหาร และการแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลกัมพูชา ภายหลังเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2552-2553 อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 หลังจากผลการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้ง
ความสนใจ
กีฬา
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาสนใจกีฬาฟุตบอลตั้งแต่เด็ก เขาคิดว่าเป็นกีฬาที่มีเสน่ห์เป็นพิเศษ เวลาที่ดูเขาจะเชียร์เต็มที่ เขาบอกว่ามันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต แต่คงไม่ถึงขั้นกับว่า มากระทบกระเทือนต่อหน้าที่การงาน สโมสรฟุตบอลที่เขาชื่นชอบคือ นิวคาสเซิล อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเคยให้สัมภาษณ์ประมาณว่ารักทีมนี้สุดจิตสุดใจและยังเคยกล่าวด้วยว่า “ผมไม่ค่อยจะเครียดเรื่องอะไรมาก จะมีเรื่องเดียวคือเวลานิวคาสเซิ่ลแพ้ ซึ่งก็บ่อยซะด้วย”[94] เขายังบอกด้วยว่าสาเหตุที่ฟุตบอลไทยไม่เคยพัฒนาได้ถึงบอลโลก ก็เพราะว่า “ประเทศไทยขาดการพัฒนาการแข่งขันมาจากรากฐานของท้องถิ่น ลีกที่ดีๆต้องมีคนเชียร์เป็นเรื่องเป็นราว มีความผูกพันอยู่กับทีมสร้างทีมขึ้นมา ของไทยเราไม่ใช่ ของเรามาจากส่วนกลาง ถ้าเทียบลีกในยุโรปช่วงที่มีแข่งทุกวันเสาร์ เขาจะไปเชียร์มันเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตเลย เด็กที่โตในเมืองนั้นก็จะโตมากับความฝันที่จะได้เล่นในทีม เป็นฮีโร่ของทีม ของไทยเราไม่ได้กระจายแบบนั้น” และมีความคิดที่จะส่งเสริมค่านิยมในการดูฟุตบอลที่ถูกต้อง และมีทัศนคติว่า การที่เล่นกีฬาเป็นประจำมันก็สอนเราเกี่ยวกับเรื่องการทำงานกับคนอื่น เกี่ยวกับเรื่องการแพ้การชนะแต่ละคน[95]
ดนตรี
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเริ่มฟังดนตรีตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก หากไม่ฟังประชุมสภาก็จะฟังเพลง อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาชอบพกพาวิทยุ เครื่องเล่นเทป ติดตัวไปสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำ อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกาเริ่มจากการฟังเพลงป็อป เช่น แอ็บบ้า ต่อมาเป็นดิ อีเกิลส์ เฮฟวีเมทัล แต่แนวก็จะเป็นเพลงร็อกและแนวเพลงร่วมสมัย เพราะชอบจังหวะ ชอบความหนักแน่นของมัน ส่วนใหญ่จะมีเนื้อร้อง เนื้อเพลง ที่บ่งบอกความร่วมสมัย ตั้งแต่ผ่านยุคทศวรรษ 80 ผ่านยุคกรันจ์ ผ่านยุคผสมกับอีเลกโทรนิกแร็ป เป็นต้นมา จะมีเรื่องของภาพลักษณ์ตามมาด้วย เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของมิวสิก วิดีโอ และจะเริ่มนึกถึงเสื้อผ้า นึกถึงทรงผมได้เหมือนกัน วงดนตรีที่ชื่นชอบคือ อาร์.อี.เอ็ม.[96] กรีนเดย์ และโอเอซิส[97]
ผลงานหนังสือ
มาร์ค เขาชื่อ… อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะ. พ.ศ. 2548, ISBN 978-974-93358-1-9
การเมืองไทยหลังรัฐประหาร. พ.ศ. 2550, ISBN 978-974-88195-1-8
เขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรไม่ถูกฉีก. พ.ศ. 2550, ISBN 978-974-7310-66-5
ร้อยฝันวันฟ้าใหม่. พ.ศ. 2550, ISBN 978-974-8494-81-4
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา You Are The Hero. พ.ศ. 2553, ISBN 9786165260633
เกียรติยศ
อาบน้ำสุนัขแก้ขี้เรื้อนไรเปียกคันเกา เวชชาชีวะรางวัลต่าง ๆ ดังนี้[98]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พ.ศ. 2542 – Order of the White Elephant – Special Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[99]
พ.ศ. 2541 – Order of the Crown of Thailand – Special Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฏ (ม.ว.ม.)[100]
การจัดอันดับระดับนานาชาติ
พ.ศ. 2535 : 1 ใน 100 ผู้นำสำหรับโลกวันพรุ่งนี้, โดย World Economic Forum
พ.ศ. 2540 : 1 ใน 6 นักการเมืองที่เป็นความหวังของเอเซีย, โดย นิตยสารไทม์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2540, “เสียงใหม่ๆ เพื่อเอเซียใหม่”
พ.ศ. 2542 : 1 ใน 20 ผู้นำสำหรับสหัสวรรษ ด้านการเมือง, โดย นิตยสารเอเซียวีค 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542